วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

การดูแลแมวสูงอายุ !!



การดูแลแมวสูงอายุ.... แมวยิ่งอายุมาก ยิ่งมีโรคภัยถามหา เตรียมตัวตั้งแต่วันนี้ในการดูแลแมวสูงอายุ
การควบคุมดูแลแมวที่มีอายุมากของคุณเกี่ยวกับอาการของโรคต่างๆ
ถ้าแมวที่มีอายุมีท่าทางว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างเกี่ยวกับหน้าที่ของระบบต่างๆในร่างกายมากขึ้น อาจจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงจากการมีอายุมากขึ้น หรืออาจจะเกิดจากการมีโรคเกิดขึ้นก็ได้ ซึ่งเหล่านี้จะช่วยเตือนให้รู้ว่าเป็นโรคได้แต่เนิ่นๆ ขบวนการ
1. การควบคุมการกินอาหาร ว่าจะให้กินเมื่อใด กินอาหารประเภทไหน มีการกินหรือการกลืนลำบากหรือเปล่า และอาเจียนหรือไม่
2. การควบคุมการกินน้ำ โดยดูว่ามีการกินน้ำมากกว่าหรือน้อยกว่าปกติหรือไม่
3. การควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระโดยดูที่ สี ปริมาณ ความเข้มข้น ความถี่ในการขับถ่าย หรือดูว่ามีอาการเจ็บปวดขณะปัสสาวะหรืออุจจาระหรือไม่ หรือดูว่ามีการขับถ่ายเรี่ยราดหรือไม่
4. ชั่งน้ำหนักทุกๆ 2 เดือน
5. มีการตรวจและตัดเล็บ ตรวจดูแผลตามตัว รวมถึงกลิ่นที่ผิดปกติ การขยายใหญ่ของช่องท้องและดูว่ามีอาการขนร่วงหรือไม่
6. การควบคุมด้านพฤติกรรม ดูการนอน การแสดงออกต่อผู้คนรอบข้างมีอาการตกใจง่ายหรือไม่ และลักษณะท่าทางการนอนผิดปกติหรือไม่
7. การควบคุมด้านท่าทางและการเคลื่อนไหว เช่นมีการชักหรือไม่ การสูญเสียการทรงตัว หรือเจ็บขา
8. ดูความผิดปกติของการหายใจ หรือดูว่ามีการไอ มีการหอบหายใจ การจามหรือไม่
9. ดูแลสุขภาพฟัน แปรงฟันให้แมวอย่างสม่ำเสมอ ดูว่ามีสิ่งผิดปกติในปากหรือไม่ ดูปริมาณน้ำลาย และดูลักษณะสีของเหงือกว่าเป็นสีเหลือง ชมพูหรือม่วง
10. ควบคุมอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมว่าแมวของคุณมีความสุขสบายหรือไม่
11. พาไปตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์ของคุณเป็นประจำ
ลักษณะอาการที่พบบ่อยและโรคที่เกี่ยวข้อง
1. การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม โรคที่เกี่ยวข้อง คือ ความเจ็บปวดจากข้ออักเสบหรือสภาวะอื่นๆ การสูญเสียการมองเห็นและการได้ยิน โรคตับ โรคไต โรค Hepatic lipidosis
2. การอ่อนเพลียหรือเหนื่อยง่าย โรคที่เกี่ยวข้อง คือ การทำงานผิดปกติของ Mitral valve โรคหัวใจ โรคโลหิตจาง โรคอ้อน โรคมะเร็ง
3. การเปลี่ยนแปลงในด้านความกระตือรือร้นของร่างกาย โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรค Hyperthyroidism โรคข้ออักเสบ ความเจ็บปวดต่างๆ ความอ้วน โลหิตจาง ความผิดปกติของ Mitral valve และโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไต โรคตับ โรคมะเร็ง
4. น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น โรคที่เกี่ยวข้อง คือ ความอ้วน
5. น้ำหนักลด โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคมะเร็ง โรคไต โรคตับ โรคของระบบทางเดินอาหาร การกินอาหารลดลง Hyperthyroidism Hepatic lipidosis โรคฟัน ความผิดปกติของลิ้นหัวใจ Mitral valve โรคหัวใจ การอักเสบของลำไส้
6. การไอ โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคหอบ โรคระบบทางเดินหายใจ โรคมะเร็ง
7. การดื่มมากและปัสสาวะบ่อย โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต Hyperthyroidism
8. การอาเจียน โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคไต โรคตับและโรคของระบบทางเดินอาหาร
9. อาการท้องเสีย โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคของระบบทางเดินอาหาร การอักเสบของลำไส้ โรคไต โรคตับ และอาจเกิดจากการเปลี่ยนอาหารเร็วเกินไป
10. การชัก โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคลมชัก ( Epilepsy ) โรคมะเร็ง โรคตับ โรคไต
11. อาการลมหายใจเหม็นผิดปกติ โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคฟัน โรคมะเร็งในช่องปาก โรคไต
12. อาการขาเจ็บ โรคที่เกี่ยวข้อง คือ การลุกลำบาก การเดินผิดปกติ ข้ออักเสบ ความอ้วน เบาหวาน
13. การกลั้นปัสสาวะไม่ได้หรือการถ่ายเรี่ยราด โรคที่เกี่ยวข้อง คือ การเป็นเนื่องจากข้ออักเสบ การอักเสบของลำไส้ Bladder stones โรคมะเร็ง
14. อาการบวมและการกระแทก โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคมะเร็งและเนื้องอกต่างๆ
15. การเปลี่ยนความอยากของอาหาร โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคตับ โรคไต ความเครียดและความเจ็บปวดต่างๆ อาจเกิดจากฤทธิ์ของยา โรคปากและฟัน Hyperthyroidism และ Hepatic lipidosis
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.vet.ku.ac.th

วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

การถอดเล็บแมว....

การถอดเล็บแมว.... แมวมักจะชอบลับเล็บด้วยการข่วนเล็บของมันกับโซฟา ตู้ เจ้าของบางคนจึงนิยมถอดเล็บ
ปัจจุบันความนิยมในการเลี้ยงแมวไว้เป็นเพื่อนเริ่มมีมากขึ้น แมวเป็นสัตว์ที่ไม่ค่อยดุร้าย กิจกรรมประจำวันมักจะนอน แต่มักจะไม่หลับนอนในเวลากลางคืน ในบางครั้งแมวที่เราเคยเลี้ยงไว้หนีไปเที่ยวเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน หรือไม่เคยกลับมาอีกเลย
ไม่ค่อยมีใครทราบเหมือนกันว่า แมวไปไหน หรือในบางครั้งแมวถูกสุนัขทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต หรือถูกรถชน กรณีอย่างนี้ผู้ที่รักแมวมักจะหาแมวตัวใหม่มาเลี้ยง บางครั้งมีแมวตัวใหม่มาป้วนเปี้ยนบ้านเรา เราให้อาหารกับมันทุกวัน ทุกวัน…. แล้วก็เป็นแมวของเราไปเอง.. (แมวเราที่หนีไปเที่ยวอาจจะไปมีชีวิตแบบด้วยก็ได้… แล้วมีผู้ใจบุญให้อาหารมัน … มันเลยไม่กลับมาอีก ก็อาจจะเป็นไปได้) บางครั้งไม่ได้ตั้งใจเลี้ยงหรอก ให้อาหารไปวันๆ แต่เผลอแผล็บเดียว… เหมียวน้อยเต็มไปหมดเลย.. คราวนี้ต้องเลี้ยงกันยาวเลย… สังคมปัจจุบันเริ่มตระหนักแล้วว่า สัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนที่ดี.. ซื่อสัตย์.. ไม่บ่น.. ไม่เถียง.. ถ้าโชคดีถ้าสัตว์เลี้ยงบางชนิดที่สามารถฝึกได้..ใช้งานได้อีก … นั่นหมายความว่าเราไม่อาจจะคิดว่า สัตว์เลี้ยงเป็นเพียงสิ่งของ หรืออะไรสักอย่างที่ไม่ใส่ใจก็ได้ไม่ได้เสียแล้ว คงต้องดูแลเหมือนสมาชิกในครอบครัวตัวหนึ่งแล้วหละ ต้องนำมันไปฉีดวัคซีนป้องกันโรค ต้องให้อาหารที่ดีมีคุณค่า ให้อยู่ในที่ที่จัดให้(กรง หรือภายในบริเวณบ้าน) สัตว์เลี้ยงอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับผู้ป่วยบางประเภท หรือแม้แต่คนชรา
แมวเป็นสัตว์เลี้ยงอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยม ด้วยความน่ารัก ชอบประจบ คลอเคลีย อันเป็นเสน่ท์ที่เจ้าของหลงใหล แต่การเลี้ยงแมวในบ้านมีปัญหาที่สำคัญประการหนึ่งคือ แมวมักจะชอบลับเล็บด้วยการข่วนเล็บของมันกับโซฟา ตู้ หมอน ทำให้เกิดความเสียหาย ถ้าปัญหาดังกล่าวมีมาก เจ้าของบางคนอาจจะเลือกวิธีการการถอดเล็บของมัน เพื่อป้องกันการทำลายสิ่งของจากการข่วนหรือลับเล็บของมัน แต่บางคนอาจจะคิดว่าเป็นวิธีการที่โหดร้าย ไม่เป็นสิ่งที่น่าทำ เมื่อลองจินตนาการดูนิ้วมือของเราเอง ปรากฎว่าไม่มีเล็บนั่นแหละคือการถอดเล็บ โดยทั่วไปการถอดเล็บมักจะทำกับสัตว์ชนิดอื่นๆ ไม่ใช่แมว เช่น เสือ หรือหมี เพราะมีโอกาสทำร้ายผู้เลี้ยงได้
การถอดเล็บไม่ง่ายเหมือนอย่างที่เรามองเห็น แต่การถอดเล็บเป็นการตัด หรือทำลาย ทั้งประสาทรับความรู้สึกและประสาทสั่งงาน(sensory nerves and motor) โดยที่ภายหลังการทำการผ่าตัดถอดเล็บสามารถนำแมวกลับบ้านได้เลย
แต่ภายหลังการผ่าตัดถอดเล็บ แมวมักจะมีความเจ็บปวด ไม่สามารถเดินได้ถนัดนัก แมวอาจจะซึม ไม่สดชื่น เนื่องจากแมวยังไม่สามารถเดิน วิ่งเล่น ปีน ลับเล็บได้เหมือนอย่างที่มันเคยทำ การถอดเล็บจึงอาจจะทำร้ายแมวได้ แมวอาจจะเปลี่ยนนิสัยได้ มันอาจจะไม่ค่อยไว้ใจใครอีกต่อไป เป็นแมวขี้กลัว หรือดุร้ายมากขึ้น หรือขี้ขลาดไปเลย ถ้าการทำศัลยกรรมทำได้ไม่ดีนัก แมวอาจจะเจ็บขา เดินไม่ถนัด ต้องผ่าตัดแก้ไขอีก แต่โชคดีบ้านเราไม่ค่อยมีเจ้าของแมวนำแมวมาถอดเล็บ แต่มีการนำเสือ หมีมาทำแทน
พึงระลึกด้วยว่า ปัญหาการลับเล็บของแมว หรือการข่วนเฟอร์นิเจอร์ เป็นปัญหาที่เล็กน้อยไม่ใหญ่โตมากนัก ที่สำคัญเราสามารถนำวัตถุที่เราเตรียมไว้สำหรับการลับเล็บให้กับมันได้ ที่เรียกว่า "scratching post" สามารถฝึกได้ แต่การถอดเล็บเป็นสิ่งที่อาจจะดูโหดร้ายสำหรับเราชาวพุทธ

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.vet.ku.ac.th


วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

เรื่องหนาว ๆ ร้อน ๆ ของเจ้าเหมียว





เรื่องหนาว ๆ ร้อน ๆ ของเจ้าเหมียว (Cat Magazine)
เรื่อง : ฝ่ายวิชาการโรงพยาบาลสัตว์มั่นมหัคฆ์

ลมหนาวที่พัดผ่านมาเยือนในช่วงปลายปีนี้ แม้ในพื้นที่เมืองหลวงจะไม่ได้หนาวจนถึงขั้นต้องสวมเสื้อผ้าหนาๆ หรือต้องนั่งผิงไฟให้คลายความเย็นเหมือนดั่งเช่นในหลายพื้นที่ของประเทศ แต่ก็ทำให้ได้ออกไปเดินริมถนนรับอากาศดี ๆ ส่งท้ายปี ปลอบใจให้ชื่นบานหลังน้ำลดกันได้บ้าง ซึ่งถ้าครอบครัวของผู้อ่านอาศัยอยู่แถบตอนเหนือที่มีอากาศหนาวเย็นอุณหภูมิเฉียดจุดเยือกแข็งแล้วล่ะก็ เรื่องลมหนาวก็กลายเป็นเรื่องหนาว ๆ สำหรับน้องเหมียวได้ แต่ถ้าเป็นน้องเหมียวเมืองกรุง หน้าหนาวก็อาจจะยังเป็นหน้าร้อนอยู่เช่นเดิม ไม่ว่าฤดูกาลจะเปลี่ยนพันไปอย่างไร หรือเจ้าเหมียวจะอาศัยอยู่พื้นที่ไหน เรื่องหนาว ๆ ร้อน ๆ ก็ยังเป็นเรื่องที่เราต้องใส่ใจอยู่เสมอ

หนาวเหน็บ 
เรื่องอากาศหนาว ไม่ใช่เรื่องที่น่าเป็นห่วงนักสำหรับแมวบ้านเรา แต่ในบางพื้นที่ หรือบางประเทศที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง เมื่อน้องแมวต้องออกไปนอกบ้านอันแสนอบอุ่น หรือต้องใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวจัด ร่างกายอาจจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าปกติ เรียกว่า Hypothermia หากอาศัยในต่างประเทศที่มีหิมะ อาจพบภาวะความเย็นกัดหรือ frostbite ได้ โดยมากแล้วแมวสายพันธุ์ต่างประเทศจะสามารถปรับตัวเพื่อรับกับสภาพอากาศหนาวเย็นได้ดี เพราะมีขนที่หนาและยาว ซึ่งแตกต่างจากแมวไทยที่มีขนบางและสั้นกว่า ยกตัวอย่างเจ้าเหมียวยักษ์ Maine Coon ที่มีถิ่นกำเนิดจากแถบทวีปอเมริกาเหนือ ต้องอาศัยอยู่ภายนอก จึงทำให้มีการปรับตัวต่อสภาพอากาศที่หนาวเย็นได้ดีตรงกันข้ามกับตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอย่าง Sphinx ที่มีขนสั้นแสนบางคงจะยากหากต้องไปอาศัยอยู่ในเขตอากาศหนาวเย็น แต่สำหรับแมวบ้านที่เลี้ยงกันทั่วๆ ไป ถึงแม้ว่าอุณหภูมิจะต่ำจนติดจบก็ตาม ปัญหา Hypothermia ก็ยังพบได้น้อยมาก ๆ ในคลินิก หรือโรงพยาบาลสัตว์ เมื่อเทียบกับปัญหา Hyperthermia หรือ Heat Stroke

หาที่อุ่นให้คลายหนาว 
หากเจ้าของแมวท่านใดที่อยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวจัด และกลัวว่าน้องเหมียวจะไม่สบาย วิธีป้องกันก็ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่เก็บเจ้าตัวยุ่งไว้ในบ้าน อย่าให้ไปเล่นในที่ที่อากาศหนาวจัด สวมเสื้อผ้าและเตรียมสิ่งรองนอนเอาไว้ และอย่าวางที่นอนเจ้าเหมียวในบริเวณที่มีลมแรงพัดผ่าน ที่นอนนองแมวควรเลือกขนาดที่พอดีกับตัวของเขา เพื่อให้เป็นจุดอบอุ่นที่เจ้าเหมียวจะสามารถเข้าไปหลบหนาวได้ หากเจ้าของสังเกตเห็นว่าน้องแมวมีอาการหนาวสั่น ให้พาเจ้าเหมียวมาอยู่ในบริเวณที่อากาศอบอุ่นสัก 2-3 ชั่วโมงเป็น อย่างน้อย

ข้อควรระวังที่ไม่ควรละเลย 
แม้อากาศหนาวจะไม่ได้ก่ออันตรายให้แมวทั่วไปถึงแก่ชีวิต แต่สำหรับลูกแมว และแมวแก่ เรื่องหนาวไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ที่จะมองข้ามไปได้ เพราะลูกแมวและเหมียวชรามีความไวต่ออุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงมากกว่า ควรให้ลูกแมวนอนกกไฟ โดยอาจใช้โคมไฟส่องห่างจากตัวลูกแมว ประมาณ 2-3 ฟุต ซึ่งโคมไฟที่ส่องจะช่วยให้อากาศบริเวณนั้นมีความอบอุ่นขึ้นมาได้ วิธีการกกไฟนี้เป็นวิธีเดียวกับที่ใช้เพิ่มความอบอุ่นให้ลูกหมูเล็กๆ ในฟาร์มหมู รวมทั้งฟาร์มไก่ที่มีอากาศหนาวเย็นจัดแล้วมาปรับใช้กับสัตว์เลี้ยงที่บ้านของเราเอง

เรื่องฮอต ๆ 
ในเขตเมืองเช่นกรุงเทพ มีอากาศที่ค่อนข้างอบอุ่น (แม้จะอยู่ในฤดูหนาวก็ตาม) แสงแดดในช่วงเวลานี้จัดจ้านไม่แพ้กับหน้าร้อนเพียงแต่ว่ามีลมหนาวแผ่วๆ มาปะทะตัว ไม่ให้เรารู้สึกว่าร้อนมากก็เท่านั้นเอง ถ้าจะให้พูดถึงปัญหาที่มากับอากาศที่แสนร้อนก็คงหนีไม่พ้นเรื่อง Heat Stroke ซึ่งพบได้มากในสุนัข แต่ก็สามารถเกิดขึ้นกับแมวได้เช่นกัน เช่น เจ้าของที่ทิ้งแมวไว้ในรถที่ตากแดดอุณหภูมิภายในรถที่ปิดสามารถพุ่งขึ้นไปได้สูงถึง 40 องศาเซลเซียส หรือ 104 องศาฟาเรนไฮต์ได้ภายในเวลา 15 นาที เท่านั้น หากแมวเป็นแมวสายพันธุ์ที่มีขนหนา เช่น แมวในกลุ่มเปอร์เซีย หรือแมวรูปร่างอวบอ้วน ก็มีแนวโน้มที่จะเกิด Heat Stroke ได้ เนื่องจากมีการสะสมความร้อนไว้ในชั้นไขมันของร่างกายส่วนแมวที่มีโรคเรื้อรัง เช่น มีภาวะเกี่ยวกับโรคหัวใจ ก็จะทำให้ร่างกายมีความสามารถในการจัดการเมื่อเกิดความร้อนสูงได้น้อยลง ดังนั้นไม่ควรทิ้งแมวไว้ในรถ แม้ว่าจะมีการแง้มกระจกเพื่อช่วยระบายความร้อนแล้วก็ตาม

อาการที่ต้องระวัง 
เมื่อแมวแสดงอาการอ้าปากหอบหายใจ น้ำลายไหล ม่านตาขยายอ่อนแรง มีอาการคล้ายจะอาเจียน ร้อง ในบางรายเป็นมากอาจมีอาการชักและหมดสติได้ เจ้าของควรนำแมวไปพบสัตวแพทย์ทันที ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้โดยการนำผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดได้ท้องและลำตัว เพื่อลดอุณหภูมิร่างกาย

จัดการเรื่องความร้อนเบื้องต้น 
โดยปกติแมวจะมีอุณหภูมิร่างกายอยู่ที่ 100.5-102.5 องศาฟาเรนไฮต์ หากอุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่า 104 องศาฟาเรนไฮต์ แสดงว่าร่างกายมีความร้อนสูงที่อยู่ในเกณฑ์อันตราย แต่หากอุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่า 106-107 องศาฟาเรนไฮต์ อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้สามารถวัดอุณหภูมิร่างกายของแมวได้โดยการใช้เทอร์โมมิเตอร์ชนิดปรอท หรือชนิดดิจิทัล วัดอุณหภูมิผ่านทางรูทวาร โดยใช้สารหล่อลื่นทาที่ปลายกระเปาะ จากนั้นเสียบปลายปรอทเข้าไป นานประมาณ 2 นาที จากนั้นอ่านอุณหภูมิที่ได้ บันทึกไว้ และแจ้งให้สัตวแพทย์ทราบ เมื่อไปถึงสถานพยาบาลสัตว์ ทำการบันทึกอุณหภูมิทุก 15 นาที และหยุดเช็ดตัว เมื่อร่างกายมีอุณหภูมิกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติ

ไม่ว่าจะร้อนจัด หรือเย็นจัด ก็เป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญทั้งสิ้น ปัญหาเรื่องความเย็นอาจจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ในบ้านเรา (ยกเว้นในบางพื้นที่) ส่วนมากจะพบปัญหาจากความร้อน และโรคที่มากับความร้อนมากกว่า หากเจ้าของหมั่นดูแลเอาใจใส่และสังเกตอาการของเจ้าเหมียวอย่างใกล้ชิดเป็นประจำแล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะร้อนหรือจะหนาว เจ้าเหมียวก็ทนได้ ส.บ.ม. สบายเหมียว


ขอบคุณ kapook.com 

วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555

การเลี้ยงดูลูกแมว.... ใครว่าลูกแมวเลี้ยงยาก ต้องลองเข้าไปอ่าน แล้วจะรู้ว่าไม่ยากอย่างที่คิด



การเลี้ยงลูกแมวกำพร้าแม้ต้องมีตารางประจำวันในการให้อาหารที่เหมาะสม การขับถ่ายการเล่นและการนอนหลับ โดยต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี เพื่อความสำเร็จในการเลี้ยงลูกแมวต้องคำนึงถึง
1. โภชนาการและการหย่านม
2. สุขอนามัย
3. อุณหภูมิและความชื้น
4. การป้องกันโรค
5. การบำรุงและทำให้เข้ากับสังคม
ลูกแมวสุขภาพดีจะจ้ำม่ำแข็งแรง มีชีวิตชีวา หลับนาน ลูกแมวที่สุขภาพไม่ดีจะมีกล้ามเนื้อที่ไม่สมบูรณ์ ร้องบ่อยถ้าไม่ช่วยเหลือ อ่อนแอ ซึมเศร้า เฉื่อยชา
โภชนาการและการหย่านม
ลูกแมวจะได้รับน้ำนมน้ำเหลืองใน 12 ชั่วโมงแรก ลูกแมวจะดูดซึมภูมิคุ้มกันจากน้ำนมน้ำเหลืองได้ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกนับจากคลอด ในกรณีที่แม่แมวไม่สามารถเลี้ยงดูลูกแมวได้ ลูกแมวต้องดูดนมจากขวดหรือหลอดหยดตามแต่จะหาได้
การให้อาหารแบบหลอดผู้ให้ต้องได้รับการฝึกอย่างดี เพราะอาหารอาจเข้าสู่ปอดย่างไม่ตั้งใจทำให้หมดสติ การให้อาหารแบบหลอดจึงเสี่ยง อนุญาตให้ใช้เฉพาะในลูกแมวอ่อนแอซึ่งต้องอยู่ภายใต้การแนะนำของแพทย์ ควรลูบหลังลูกแมวให้เรอระหว่างให้อาหารและหลังอาหาร โดยนำมันผาดไหล่ ให้ตัวตั้งตรงและตบหลังเบาๆ การให้น้ำนมจากขวดหรือหลอดต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันการปอดบวมหรือการสำลักน้ำ
ใน 24-28 ชั่วโมงแรก ลูกแมวต้องการนม 1 มิลลิลิตรต่อชั่วโมง แต่ละวันเพิ่มจำนวนขึ้น 0.5 มิลลิลิตร จนถึง 10 มิลลิลิตรต่อมื้อ จึงหยุดเพิ่ม ใน 1 วันลูกแมวควรได้รับอาหาร 6-9 มื้อ
ในช่วง 2 สัปดาห์ ให้อาหารลูกแมว 5-7 มิลลิลิตรต่อครั้ง
ช่วง 3 สัปดาห์ จะเริ่มให้อาหารอ่อน 3 เวลาต่อวัน และยังมีการให้นมจากขวดอยู่
ในสัปดาห์ที่ 4 ลูกแมวควรได้รับน้ำนมจากขวด 4-6 ครั้งต่อวันร่วมกับอาหารอ่อน 4-5 ครั้งต่อวัน ลดการให้อาหารช่วงกลางคืนลง
ลูกแมวจะกินอาหารแข็งได้เมื่ออายุ 7 สัปดาห์
สัญญาณแรกของการเจ็บป่วย คือ น้ำหนักลด น้ำหนักของลูกแมวจะเพิ่มขึ้น 50-100 กรัมต่อสัปดาห์ เมื่อลูกแมวอายุ 14 วัน น้ำหนักจะเพิ่มเป็น 2 เท่าของน้ำหนักแรกเกิด ถ้าลูกแมวน้ำหนักไม่เพิ่มควรให้อาหารเพิ่มขึ้น
สุขอนามัย
ลูกแมวเกิดใหม่จะไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ เพราะกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ยังเจริญไม่สมบูรณ์ ลูกแมวต้องได้รับการกระตุ้นโดยใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ ชุบน้ำอุ่นลูบบริเวณทวารหนัก จะทำให้ลูกแมวปัสสาวะ อุจจาระภายใน 1-2 นาที โดยปกติลูกแมวอายุ 21 วัน จะขับถ่ายของเสียได้เอง หมั่นสังเกตปัสสาวะและอุจจาระของลูกแมว ปัสสาวะปกติควรมีสีเหลืองอ่อนหรือใส ถ้ามันมีสีเหลืองคล้ำหรือส้มแสดงว่าลูกแมวได้รับอาหารไม่เพียงพอ ปกติอุจจาระจะมีสีน้ำตาลจางหรือเข้ม อุจจาระสีเขียวแสดงถึงโรคติดเชื้อ ถ้าอุจจาระแข็งมากแสดงว่าให้อาหารทีละมากๆ แต่ให้ไม่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ท้องอืด มีแก๊ส หายใจไม่สะดวก
อุณหภูมิและความชื้น
ลูกแมวเกิดใหม่ยังไม่สามารถรักษาความร้อนของร่างกาย หรือสั่นตัวเพื่อให้เกิดความร้อนได้ จึงต้องมีที่ให้ความร้อนแก่ลูกแมว เช่น ตู้อบ เครื่องทำน้ำอุ่น ซึ่งถูกออกแบบสำหรับลูกสัตว์เกิดใหม่ จะช่วยรักษาอุณหภูมิในร่างกายให้เหมาะสมและควรระมัดระวังอย่าให้ความร้อนสูงเกินไป ควรมีเทอร์โมมิเตอร์ในบริเวณนั้นเพื่อคอยสังเกตอุณหภูมิ ในสัปดาห์แรกอุณหภูมิควรอยู่ที่ 85-90 องศาฟาเรนไฮต์ ความชื้น 55-65% พอ 3 สัปดาห์ลดอุณหภูมิลงเป็น 75 องศาฟาเรนไฮต์ ลองสังเกตถ้าลูกแมวมาอยู่รวมกันแสดงว่ามันหนาวไป แต่ถ้าลูกแมวอยู่ห่างกันคนละมุมแสดงว่าร้อนไป ลูกแมวที่มีอุณหภูมิร่างกายต่ำควรทำให้อบอุ่นอย่างช้าๆ ภายใน 2-3 ชั่วโมง จนลูกแมวมีอุณหภูมิร่างกายปกติ 97 องศาฟาเรนไฮต์
ควรรักษาความชื้นโดยใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำวางเหนือกล่องที่ลูกแมวอยู่ จะช่วยเพิ่มความชื้นได้ ไม่ควนเลี้ยงลูกแมวในที่อับชื้น หรือบนพื้นที่ผุพัง เพราะจะทำให้เกิดเชื้อรา ซึ่งอาจเกิดโรคทางเดินหายใจได้ การควบคุมอุณหภูมินั้นสำคัญกว่าในเรื่องความชื้น ลูกแมวควรอยู่ในที่ที่มีผิวสัมผัสที่ดี เช่น ผ้าห่ม ขนแกะ จะช่วยพัฒนาการเคลื่อนไหวของลูกแมว
การป้องกันโรค
ลูกแมวอาจติดโรคได้ง่าย เช่น โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ถ้าหากไม่ได้รับน้ำนมเหลืองจากแม่ นมน้ำเหลือง 24 ชั่งโมงแรกหลังคลอดจะมีแอนติบอดีมากมาย ซึ่งแอนติบอดีจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ลูกแมวที่ไม่ได้กินนมน้ำเหลืองจะมีภูมิคุ้มกันโรคน้อย และควรฉีดวัคซีนให้ลูกแมวด้วย ลูกแมวอาจได้รับอันตรายจากพยาธิ จึงควรถ่ายพยาธิให้ลูกแมว เริ่มเมื่อลูกแมวอายุ 6 สัปดาห์ และถ่ายซ้ำอีกครั้งเมื่ออายุ 8 และ 10 สัปดาห์
การบำรุงและทำให้เข้ากับสังคม
เราควรลูบขน กอด และให้ลูกแมวเล่นกับคนประมาณ 30-40 นาทีต่อวัน นอกเหนือจากการให้อาหารและทำความสะอาดให้มัน ลูกแมวต้องการการกระตุ้น ควรปูรองพื้นกล่องที่ลูกแมวนอนด้วยวัสดุอ่อนนุ่ม ลูกแมวจะอบอุ่นและหลับสบาย สิ่งสำคัญคือทำให้เหมือนลูกแมวเป็นสมาชิกในบ้านในช่วง 3-6 สัปดาห์ จำไว้ว่ามันยังเด็ก ต้องจับอย่างทะนุถนอม แต่ต้องเริ่มฝึกลูกแมวให้คุ้นเคยกับเสียง การขับถ่าย คนแปลกหน้า และสัตว์เลี้ยงอื่นๆ
สรุป
ไม่ต้องกังวลว่าการเลี้ยงลูกแมวเป็นเรื่องใหญ่ เพราะมีหนังสือที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากมาย ลูกแมวสุขภาพดี มีความสุขที่คุณเลี้ยงมาคือรางวัลที่วิเศษที่สุด ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.vet.ku.ac.th