วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

การดูแลแมวสูงอายุ !!



การดูแลแมวสูงอายุ.... แมวยิ่งอายุมาก ยิ่งมีโรคภัยถามหา เตรียมตัวตั้งแต่วันนี้ในการดูแลแมวสูงอายุ
การควบคุมดูแลแมวที่มีอายุมากของคุณเกี่ยวกับอาการของโรคต่างๆ
ถ้าแมวที่มีอายุมีท่าทางว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างเกี่ยวกับหน้าที่ของระบบต่างๆในร่างกายมากขึ้น อาจจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงจากการมีอายุมากขึ้น หรืออาจจะเกิดจากการมีโรคเกิดขึ้นก็ได้ ซึ่งเหล่านี้จะช่วยเตือนให้รู้ว่าเป็นโรคได้แต่เนิ่นๆ ขบวนการ
1. การควบคุมการกินอาหาร ว่าจะให้กินเมื่อใด กินอาหารประเภทไหน มีการกินหรือการกลืนลำบากหรือเปล่า และอาเจียนหรือไม่
2. การควบคุมการกินน้ำ โดยดูว่ามีการกินน้ำมากกว่าหรือน้อยกว่าปกติหรือไม่
3. การควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระโดยดูที่ สี ปริมาณ ความเข้มข้น ความถี่ในการขับถ่าย หรือดูว่ามีอาการเจ็บปวดขณะปัสสาวะหรืออุจจาระหรือไม่ หรือดูว่ามีการขับถ่ายเรี่ยราดหรือไม่
4. ชั่งน้ำหนักทุกๆ 2 เดือน
5. มีการตรวจและตัดเล็บ ตรวจดูแผลตามตัว รวมถึงกลิ่นที่ผิดปกติ การขยายใหญ่ของช่องท้องและดูว่ามีอาการขนร่วงหรือไม่
6. การควบคุมด้านพฤติกรรม ดูการนอน การแสดงออกต่อผู้คนรอบข้างมีอาการตกใจง่ายหรือไม่ และลักษณะท่าทางการนอนผิดปกติหรือไม่
7. การควบคุมด้านท่าทางและการเคลื่อนไหว เช่นมีการชักหรือไม่ การสูญเสียการทรงตัว หรือเจ็บขา
8. ดูความผิดปกติของการหายใจ หรือดูว่ามีการไอ มีการหอบหายใจ การจามหรือไม่
9. ดูแลสุขภาพฟัน แปรงฟันให้แมวอย่างสม่ำเสมอ ดูว่ามีสิ่งผิดปกติในปากหรือไม่ ดูปริมาณน้ำลาย และดูลักษณะสีของเหงือกว่าเป็นสีเหลือง ชมพูหรือม่วง
10. ควบคุมอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมว่าแมวของคุณมีความสุขสบายหรือไม่
11. พาไปตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์ของคุณเป็นประจำ
ลักษณะอาการที่พบบ่อยและโรคที่เกี่ยวข้อง
1. การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม โรคที่เกี่ยวข้อง คือ ความเจ็บปวดจากข้ออักเสบหรือสภาวะอื่นๆ การสูญเสียการมองเห็นและการได้ยิน โรคตับ โรคไต โรค Hepatic lipidosis
2. การอ่อนเพลียหรือเหนื่อยง่าย โรคที่เกี่ยวข้อง คือ การทำงานผิดปกติของ Mitral valve โรคหัวใจ โรคโลหิตจาง โรคอ้อน โรคมะเร็ง
3. การเปลี่ยนแปลงในด้านความกระตือรือร้นของร่างกาย โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรค Hyperthyroidism โรคข้ออักเสบ ความเจ็บปวดต่างๆ ความอ้วน โลหิตจาง ความผิดปกติของ Mitral valve และโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไต โรคตับ โรคมะเร็ง
4. น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น โรคที่เกี่ยวข้อง คือ ความอ้วน
5. น้ำหนักลด โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคมะเร็ง โรคไต โรคตับ โรคของระบบทางเดินอาหาร การกินอาหารลดลง Hyperthyroidism Hepatic lipidosis โรคฟัน ความผิดปกติของลิ้นหัวใจ Mitral valve โรคหัวใจ การอักเสบของลำไส้
6. การไอ โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคหอบ โรคระบบทางเดินหายใจ โรคมะเร็ง
7. การดื่มมากและปัสสาวะบ่อย โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต Hyperthyroidism
8. การอาเจียน โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคไต โรคตับและโรคของระบบทางเดินอาหาร
9. อาการท้องเสีย โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคของระบบทางเดินอาหาร การอักเสบของลำไส้ โรคไต โรคตับ และอาจเกิดจากการเปลี่ยนอาหารเร็วเกินไป
10. การชัก โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคลมชัก ( Epilepsy ) โรคมะเร็ง โรคตับ โรคไต
11. อาการลมหายใจเหม็นผิดปกติ โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคฟัน โรคมะเร็งในช่องปาก โรคไต
12. อาการขาเจ็บ โรคที่เกี่ยวข้อง คือ การลุกลำบาก การเดินผิดปกติ ข้ออักเสบ ความอ้วน เบาหวาน
13. การกลั้นปัสสาวะไม่ได้หรือการถ่ายเรี่ยราด โรคที่เกี่ยวข้อง คือ การเป็นเนื่องจากข้ออักเสบ การอักเสบของลำไส้ Bladder stones โรคมะเร็ง
14. อาการบวมและการกระแทก โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคมะเร็งและเนื้องอกต่างๆ
15. การเปลี่ยนความอยากของอาหาร โรคที่เกี่ยวข้อง คือ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคตับ โรคไต ความเครียดและความเจ็บปวดต่างๆ อาจเกิดจากฤทธิ์ของยา โรคปากและฟัน Hyperthyroidism และ Hepatic lipidosis
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.vet.ku.ac.th

วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

การถอดเล็บแมว....

การถอดเล็บแมว.... แมวมักจะชอบลับเล็บด้วยการข่วนเล็บของมันกับโซฟา ตู้ เจ้าของบางคนจึงนิยมถอดเล็บ
ปัจจุบันความนิยมในการเลี้ยงแมวไว้เป็นเพื่อนเริ่มมีมากขึ้น แมวเป็นสัตว์ที่ไม่ค่อยดุร้าย กิจกรรมประจำวันมักจะนอน แต่มักจะไม่หลับนอนในเวลากลางคืน ในบางครั้งแมวที่เราเคยเลี้ยงไว้หนีไปเที่ยวเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน หรือไม่เคยกลับมาอีกเลย
ไม่ค่อยมีใครทราบเหมือนกันว่า แมวไปไหน หรือในบางครั้งแมวถูกสุนัขทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต หรือถูกรถชน กรณีอย่างนี้ผู้ที่รักแมวมักจะหาแมวตัวใหม่มาเลี้ยง บางครั้งมีแมวตัวใหม่มาป้วนเปี้ยนบ้านเรา เราให้อาหารกับมันทุกวัน ทุกวัน…. แล้วก็เป็นแมวของเราไปเอง.. (แมวเราที่หนีไปเที่ยวอาจจะไปมีชีวิตแบบด้วยก็ได้… แล้วมีผู้ใจบุญให้อาหารมัน … มันเลยไม่กลับมาอีก ก็อาจจะเป็นไปได้) บางครั้งไม่ได้ตั้งใจเลี้ยงหรอก ให้อาหารไปวันๆ แต่เผลอแผล็บเดียว… เหมียวน้อยเต็มไปหมดเลย.. คราวนี้ต้องเลี้ยงกันยาวเลย… สังคมปัจจุบันเริ่มตระหนักแล้วว่า สัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนที่ดี.. ซื่อสัตย์.. ไม่บ่น.. ไม่เถียง.. ถ้าโชคดีถ้าสัตว์เลี้ยงบางชนิดที่สามารถฝึกได้..ใช้งานได้อีก … นั่นหมายความว่าเราไม่อาจจะคิดว่า สัตว์เลี้ยงเป็นเพียงสิ่งของ หรืออะไรสักอย่างที่ไม่ใส่ใจก็ได้ไม่ได้เสียแล้ว คงต้องดูแลเหมือนสมาชิกในครอบครัวตัวหนึ่งแล้วหละ ต้องนำมันไปฉีดวัคซีนป้องกันโรค ต้องให้อาหารที่ดีมีคุณค่า ให้อยู่ในที่ที่จัดให้(กรง หรือภายในบริเวณบ้าน) สัตว์เลี้ยงอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับผู้ป่วยบางประเภท หรือแม้แต่คนชรา
แมวเป็นสัตว์เลี้ยงอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยม ด้วยความน่ารัก ชอบประจบ คลอเคลีย อันเป็นเสน่ท์ที่เจ้าของหลงใหล แต่การเลี้ยงแมวในบ้านมีปัญหาที่สำคัญประการหนึ่งคือ แมวมักจะชอบลับเล็บด้วยการข่วนเล็บของมันกับโซฟา ตู้ หมอน ทำให้เกิดความเสียหาย ถ้าปัญหาดังกล่าวมีมาก เจ้าของบางคนอาจจะเลือกวิธีการการถอดเล็บของมัน เพื่อป้องกันการทำลายสิ่งของจากการข่วนหรือลับเล็บของมัน แต่บางคนอาจจะคิดว่าเป็นวิธีการที่โหดร้าย ไม่เป็นสิ่งที่น่าทำ เมื่อลองจินตนาการดูนิ้วมือของเราเอง ปรากฎว่าไม่มีเล็บนั่นแหละคือการถอดเล็บ โดยทั่วไปการถอดเล็บมักจะทำกับสัตว์ชนิดอื่นๆ ไม่ใช่แมว เช่น เสือ หรือหมี เพราะมีโอกาสทำร้ายผู้เลี้ยงได้
การถอดเล็บไม่ง่ายเหมือนอย่างที่เรามองเห็น แต่การถอดเล็บเป็นการตัด หรือทำลาย ทั้งประสาทรับความรู้สึกและประสาทสั่งงาน(sensory nerves and motor) โดยที่ภายหลังการทำการผ่าตัดถอดเล็บสามารถนำแมวกลับบ้านได้เลย
แต่ภายหลังการผ่าตัดถอดเล็บ แมวมักจะมีความเจ็บปวด ไม่สามารถเดินได้ถนัดนัก แมวอาจจะซึม ไม่สดชื่น เนื่องจากแมวยังไม่สามารถเดิน วิ่งเล่น ปีน ลับเล็บได้เหมือนอย่างที่มันเคยทำ การถอดเล็บจึงอาจจะทำร้ายแมวได้ แมวอาจจะเปลี่ยนนิสัยได้ มันอาจจะไม่ค่อยไว้ใจใครอีกต่อไป เป็นแมวขี้กลัว หรือดุร้ายมากขึ้น หรือขี้ขลาดไปเลย ถ้าการทำศัลยกรรมทำได้ไม่ดีนัก แมวอาจจะเจ็บขา เดินไม่ถนัด ต้องผ่าตัดแก้ไขอีก แต่โชคดีบ้านเราไม่ค่อยมีเจ้าของแมวนำแมวมาถอดเล็บ แต่มีการนำเสือ หมีมาทำแทน
พึงระลึกด้วยว่า ปัญหาการลับเล็บของแมว หรือการข่วนเฟอร์นิเจอร์ เป็นปัญหาที่เล็กน้อยไม่ใหญ่โตมากนัก ที่สำคัญเราสามารถนำวัตถุที่เราเตรียมไว้สำหรับการลับเล็บให้กับมันได้ ที่เรียกว่า "scratching post" สามารถฝึกได้ แต่การถอดเล็บเป็นสิ่งที่อาจจะดูโหดร้ายสำหรับเราชาวพุทธ

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.vet.ku.ac.th


วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

เรื่องหนาว ๆ ร้อน ๆ ของเจ้าเหมียว





เรื่องหนาว ๆ ร้อน ๆ ของเจ้าเหมียว (Cat Magazine)
เรื่อง : ฝ่ายวิชาการโรงพยาบาลสัตว์มั่นมหัคฆ์

ลมหนาวที่พัดผ่านมาเยือนในช่วงปลายปีนี้ แม้ในพื้นที่เมืองหลวงจะไม่ได้หนาวจนถึงขั้นต้องสวมเสื้อผ้าหนาๆ หรือต้องนั่งผิงไฟให้คลายความเย็นเหมือนดั่งเช่นในหลายพื้นที่ของประเทศ แต่ก็ทำให้ได้ออกไปเดินริมถนนรับอากาศดี ๆ ส่งท้ายปี ปลอบใจให้ชื่นบานหลังน้ำลดกันได้บ้าง ซึ่งถ้าครอบครัวของผู้อ่านอาศัยอยู่แถบตอนเหนือที่มีอากาศหนาวเย็นอุณหภูมิเฉียดจุดเยือกแข็งแล้วล่ะก็ เรื่องลมหนาวก็กลายเป็นเรื่องหนาว ๆ สำหรับน้องเหมียวได้ แต่ถ้าเป็นน้องเหมียวเมืองกรุง หน้าหนาวก็อาจจะยังเป็นหน้าร้อนอยู่เช่นเดิม ไม่ว่าฤดูกาลจะเปลี่ยนพันไปอย่างไร หรือเจ้าเหมียวจะอาศัยอยู่พื้นที่ไหน เรื่องหนาว ๆ ร้อน ๆ ก็ยังเป็นเรื่องที่เราต้องใส่ใจอยู่เสมอ

หนาวเหน็บ 
เรื่องอากาศหนาว ไม่ใช่เรื่องที่น่าเป็นห่วงนักสำหรับแมวบ้านเรา แต่ในบางพื้นที่ หรือบางประเทศที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง เมื่อน้องแมวต้องออกไปนอกบ้านอันแสนอบอุ่น หรือต้องใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวจัด ร่างกายอาจจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าปกติ เรียกว่า Hypothermia หากอาศัยในต่างประเทศที่มีหิมะ อาจพบภาวะความเย็นกัดหรือ frostbite ได้ โดยมากแล้วแมวสายพันธุ์ต่างประเทศจะสามารถปรับตัวเพื่อรับกับสภาพอากาศหนาวเย็นได้ดี เพราะมีขนที่หนาและยาว ซึ่งแตกต่างจากแมวไทยที่มีขนบางและสั้นกว่า ยกตัวอย่างเจ้าเหมียวยักษ์ Maine Coon ที่มีถิ่นกำเนิดจากแถบทวีปอเมริกาเหนือ ต้องอาศัยอยู่ภายนอก จึงทำให้มีการปรับตัวต่อสภาพอากาศที่หนาวเย็นได้ดีตรงกันข้ามกับตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอย่าง Sphinx ที่มีขนสั้นแสนบางคงจะยากหากต้องไปอาศัยอยู่ในเขตอากาศหนาวเย็น แต่สำหรับแมวบ้านที่เลี้ยงกันทั่วๆ ไป ถึงแม้ว่าอุณหภูมิจะต่ำจนติดจบก็ตาม ปัญหา Hypothermia ก็ยังพบได้น้อยมาก ๆ ในคลินิก หรือโรงพยาบาลสัตว์ เมื่อเทียบกับปัญหา Hyperthermia หรือ Heat Stroke

หาที่อุ่นให้คลายหนาว 
หากเจ้าของแมวท่านใดที่อยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวจัด และกลัวว่าน้องเหมียวจะไม่สบาย วิธีป้องกันก็ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่เก็บเจ้าตัวยุ่งไว้ในบ้าน อย่าให้ไปเล่นในที่ที่อากาศหนาวจัด สวมเสื้อผ้าและเตรียมสิ่งรองนอนเอาไว้ และอย่าวางที่นอนเจ้าเหมียวในบริเวณที่มีลมแรงพัดผ่าน ที่นอนนองแมวควรเลือกขนาดที่พอดีกับตัวของเขา เพื่อให้เป็นจุดอบอุ่นที่เจ้าเหมียวจะสามารถเข้าไปหลบหนาวได้ หากเจ้าของสังเกตเห็นว่าน้องแมวมีอาการหนาวสั่น ให้พาเจ้าเหมียวมาอยู่ในบริเวณที่อากาศอบอุ่นสัก 2-3 ชั่วโมงเป็น อย่างน้อย

ข้อควรระวังที่ไม่ควรละเลย 
แม้อากาศหนาวจะไม่ได้ก่ออันตรายให้แมวทั่วไปถึงแก่ชีวิต แต่สำหรับลูกแมว และแมวแก่ เรื่องหนาวไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ที่จะมองข้ามไปได้ เพราะลูกแมวและเหมียวชรามีความไวต่ออุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงมากกว่า ควรให้ลูกแมวนอนกกไฟ โดยอาจใช้โคมไฟส่องห่างจากตัวลูกแมว ประมาณ 2-3 ฟุต ซึ่งโคมไฟที่ส่องจะช่วยให้อากาศบริเวณนั้นมีความอบอุ่นขึ้นมาได้ วิธีการกกไฟนี้เป็นวิธีเดียวกับที่ใช้เพิ่มความอบอุ่นให้ลูกหมูเล็กๆ ในฟาร์มหมู รวมทั้งฟาร์มไก่ที่มีอากาศหนาวเย็นจัดแล้วมาปรับใช้กับสัตว์เลี้ยงที่บ้านของเราเอง

เรื่องฮอต ๆ 
ในเขตเมืองเช่นกรุงเทพ มีอากาศที่ค่อนข้างอบอุ่น (แม้จะอยู่ในฤดูหนาวก็ตาม) แสงแดดในช่วงเวลานี้จัดจ้านไม่แพ้กับหน้าร้อนเพียงแต่ว่ามีลมหนาวแผ่วๆ มาปะทะตัว ไม่ให้เรารู้สึกว่าร้อนมากก็เท่านั้นเอง ถ้าจะให้พูดถึงปัญหาที่มากับอากาศที่แสนร้อนก็คงหนีไม่พ้นเรื่อง Heat Stroke ซึ่งพบได้มากในสุนัข แต่ก็สามารถเกิดขึ้นกับแมวได้เช่นกัน เช่น เจ้าของที่ทิ้งแมวไว้ในรถที่ตากแดดอุณหภูมิภายในรถที่ปิดสามารถพุ่งขึ้นไปได้สูงถึง 40 องศาเซลเซียส หรือ 104 องศาฟาเรนไฮต์ได้ภายในเวลา 15 นาที เท่านั้น หากแมวเป็นแมวสายพันธุ์ที่มีขนหนา เช่น แมวในกลุ่มเปอร์เซีย หรือแมวรูปร่างอวบอ้วน ก็มีแนวโน้มที่จะเกิด Heat Stroke ได้ เนื่องจากมีการสะสมความร้อนไว้ในชั้นไขมันของร่างกายส่วนแมวที่มีโรคเรื้อรัง เช่น มีภาวะเกี่ยวกับโรคหัวใจ ก็จะทำให้ร่างกายมีความสามารถในการจัดการเมื่อเกิดความร้อนสูงได้น้อยลง ดังนั้นไม่ควรทิ้งแมวไว้ในรถ แม้ว่าจะมีการแง้มกระจกเพื่อช่วยระบายความร้อนแล้วก็ตาม

อาการที่ต้องระวัง 
เมื่อแมวแสดงอาการอ้าปากหอบหายใจ น้ำลายไหล ม่านตาขยายอ่อนแรง มีอาการคล้ายจะอาเจียน ร้อง ในบางรายเป็นมากอาจมีอาการชักและหมดสติได้ เจ้าของควรนำแมวไปพบสัตวแพทย์ทันที ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้โดยการนำผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดได้ท้องและลำตัว เพื่อลดอุณหภูมิร่างกาย

จัดการเรื่องความร้อนเบื้องต้น 
โดยปกติแมวจะมีอุณหภูมิร่างกายอยู่ที่ 100.5-102.5 องศาฟาเรนไฮต์ หากอุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่า 104 องศาฟาเรนไฮต์ แสดงว่าร่างกายมีความร้อนสูงที่อยู่ในเกณฑ์อันตราย แต่หากอุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่า 106-107 องศาฟาเรนไฮต์ อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้สามารถวัดอุณหภูมิร่างกายของแมวได้โดยการใช้เทอร์โมมิเตอร์ชนิดปรอท หรือชนิดดิจิทัล วัดอุณหภูมิผ่านทางรูทวาร โดยใช้สารหล่อลื่นทาที่ปลายกระเปาะ จากนั้นเสียบปลายปรอทเข้าไป นานประมาณ 2 นาที จากนั้นอ่านอุณหภูมิที่ได้ บันทึกไว้ และแจ้งให้สัตวแพทย์ทราบ เมื่อไปถึงสถานพยาบาลสัตว์ ทำการบันทึกอุณหภูมิทุก 15 นาที และหยุดเช็ดตัว เมื่อร่างกายมีอุณหภูมิกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติ

ไม่ว่าจะร้อนจัด หรือเย็นจัด ก็เป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญทั้งสิ้น ปัญหาเรื่องความเย็นอาจจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ในบ้านเรา (ยกเว้นในบางพื้นที่) ส่วนมากจะพบปัญหาจากความร้อน และโรคที่มากับความร้อนมากกว่า หากเจ้าของหมั่นดูแลเอาใจใส่และสังเกตอาการของเจ้าเหมียวอย่างใกล้ชิดเป็นประจำแล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะร้อนหรือจะหนาว เจ้าเหมียวก็ทนได้ ส.บ.ม. สบายเหมียว


ขอบคุณ kapook.com 

วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555

การเลี้ยงดูลูกแมว.... ใครว่าลูกแมวเลี้ยงยาก ต้องลองเข้าไปอ่าน แล้วจะรู้ว่าไม่ยากอย่างที่คิด



การเลี้ยงลูกแมวกำพร้าแม้ต้องมีตารางประจำวันในการให้อาหารที่เหมาะสม การขับถ่ายการเล่นและการนอนหลับ โดยต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี เพื่อความสำเร็จในการเลี้ยงลูกแมวต้องคำนึงถึง
1. โภชนาการและการหย่านม
2. สุขอนามัย
3. อุณหภูมิและความชื้น
4. การป้องกันโรค
5. การบำรุงและทำให้เข้ากับสังคม
ลูกแมวสุขภาพดีจะจ้ำม่ำแข็งแรง มีชีวิตชีวา หลับนาน ลูกแมวที่สุขภาพไม่ดีจะมีกล้ามเนื้อที่ไม่สมบูรณ์ ร้องบ่อยถ้าไม่ช่วยเหลือ อ่อนแอ ซึมเศร้า เฉื่อยชา
โภชนาการและการหย่านม
ลูกแมวจะได้รับน้ำนมน้ำเหลืองใน 12 ชั่วโมงแรก ลูกแมวจะดูดซึมภูมิคุ้มกันจากน้ำนมน้ำเหลืองได้ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกนับจากคลอด ในกรณีที่แม่แมวไม่สามารถเลี้ยงดูลูกแมวได้ ลูกแมวต้องดูดนมจากขวดหรือหลอดหยดตามแต่จะหาได้
การให้อาหารแบบหลอดผู้ให้ต้องได้รับการฝึกอย่างดี เพราะอาหารอาจเข้าสู่ปอดย่างไม่ตั้งใจทำให้หมดสติ การให้อาหารแบบหลอดจึงเสี่ยง อนุญาตให้ใช้เฉพาะในลูกแมวอ่อนแอซึ่งต้องอยู่ภายใต้การแนะนำของแพทย์ ควรลูบหลังลูกแมวให้เรอระหว่างให้อาหารและหลังอาหาร โดยนำมันผาดไหล่ ให้ตัวตั้งตรงและตบหลังเบาๆ การให้น้ำนมจากขวดหรือหลอดต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันการปอดบวมหรือการสำลักน้ำ
ใน 24-28 ชั่วโมงแรก ลูกแมวต้องการนม 1 มิลลิลิตรต่อชั่วโมง แต่ละวันเพิ่มจำนวนขึ้น 0.5 มิลลิลิตร จนถึง 10 มิลลิลิตรต่อมื้อ จึงหยุดเพิ่ม ใน 1 วันลูกแมวควรได้รับอาหาร 6-9 มื้อ
ในช่วง 2 สัปดาห์ ให้อาหารลูกแมว 5-7 มิลลิลิตรต่อครั้ง
ช่วง 3 สัปดาห์ จะเริ่มให้อาหารอ่อน 3 เวลาต่อวัน และยังมีการให้นมจากขวดอยู่
ในสัปดาห์ที่ 4 ลูกแมวควรได้รับน้ำนมจากขวด 4-6 ครั้งต่อวันร่วมกับอาหารอ่อน 4-5 ครั้งต่อวัน ลดการให้อาหารช่วงกลางคืนลง
ลูกแมวจะกินอาหารแข็งได้เมื่ออายุ 7 สัปดาห์
สัญญาณแรกของการเจ็บป่วย คือ น้ำหนักลด น้ำหนักของลูกแมวจะเพิ่มขึ้น 50-100 กรัมต่อสัปดาห์ เมื่อลูกแมวอายุ 14 วัน น้ำหนักจะเพิ่มเป็น 2 เท่าของน้ำหนักแรกเกิด ถ้าลูกแมวน้ำหนักไม่เพิ่มควรให้อาหารเพิ่มขึ้น
สุขอนามัย
ลูกแมวเกิดใหม่จะไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ เพราะกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ยังเจริญไม่สมบูรณ์ ลูกแมวต้องได้รับการกระตุ้นโดยใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ ชุบน้ำอุ่นลูบบริเวณทวารหนัก จะทำให้ลูกแมวปัสสาวะ อุจจาระภายใน 1-2 นาที โดยปกติลูกแมวอายุ 21 วัน จะขับถ่ายของเสียได้เอง หมั่นสังเกตปัสสาวะและอุจจาระของลูกแมว ปัสสาวะปกติควรมีสีเหลืองอ่อนหรือใส ถ้ามันมีสีเหลืองคล้ำหรือส้มแสดงว่าลูกแมวได้รับอาหารไม่เพียงพอ ปกติอุจจาระจะมีสีน้ำตาลจางหรือเข้ม อุจจาระสีเขียวแสดงถึงโรคติดเชื้อ ถ้าอุจจาระแข็งมากแสดงว่าให้อาหารทีละมากๆ แต่ให้ไม่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ท้องอืด มีแก๊ส หายใจไม่สะดวก
อุณหภูมิและความชื้น
ลูกแมวเกิดใหม่ยังไม่สามารถรักษาความร้อนของร่างกาย หรือสั่นตัวเพื่อให้เกิดความร้อนได้ จึงต้องมีที่ให้ความร้อนแก่ลูกแมว เช่น ตู้อบ เครื่องทำน้ำอุ่น ซึ่งถูกออกแบบสำหรับลูกสัตว์เกิดใหม่ จะช่วยรักษาอุณหภูมิในร่างกายให้เหมาะสมและควรระมัดระวังอย่าให้ความร้อนสูงเกินไป ควรมีเทอร์โมมิเตอร์ในบริเวณนั้นเพื่อคอยสังเกตอุณหภูมิ ในสัปดาห์แรกอุณหภูมิควรอยู่ที่ 85-90 องศาฟาเรนไฮต์ ความชื้น 55-65% พอ 3 สัปดาห์ลดอุณหภูมิลงเป็น 75 องศาฟาเรนไฮต์ ลองสังเกตถ้าลูกแมวมาอยู่รวมกันแสดงว่ามันหนาวไป แต่ถ้าลูกแมวอยู่ห่างกันคนละมุมแสดงว่าร้อนไป ลูกแมวที่มีอุณหภูมิร่างกายต่ำควรทำให้อบอุ่นอย่างช้าๆ ภายใน 2-3 ชั่วโมง จนลูกแมวมีอุณหภูมิร่างกายปกติ 97 องศาฟาเรนไฮต์
ควรรักษาความชื้นโดยใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำวางเหนือกล่องที่ลูกแมวอยู่ จะช่วยเพิ่มความชื้นได้ ไม่ควนเลี้ยงลูกแมวในที่อับชื้น หรือบนพื้นที่ผุพัง เพราะจะทำให้เกิดเชื้อรา ซึ่งอาจเกิดโรคทางเดินหายใจได้ การควบคุมอุณหภูมินั้นสำคัญกว่าในเรื่องความชื้น ลูกแมวควรอยู่ในที่ที่มีผิวสัมผัสที่ดี เช่น ผ้าห่ม ขนแกะ จะช่วยพัฒนาการเคลื่อนไหวของลูกแมว
การป้องกันโรค
ลูกแมวอาจติดโรคได้ง่าย เช่น โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ถ้าหากไม่ได้รับน้ำนมเหลืองจากแม่ นมน้ำเหลือง 24 ชั่งโมงแรกหลังคลอดจะมีแอนติบอดีมากมาย ซึ่งแอนติบอดีจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ลูกแมวที่ไม่ได้กินนมน้ำเหลืองจะมีภูมิคุ้มกันโรคน้อย และควรฉีดวัคซีนให้ลูกแมวด้วย ลูกแมวอาจได้รับอันตรายจากพยาธิ จึงควรถ่ายพยาธิให้ลูกแมว เริ่มเมื่อลูกแมวอายุ 6 สัปดาห์ และถ่ายซ้ำอีกครั้งเมื่ออายุ 8 และ 10 สัปดาห์
การบำรุงและทำให้เข้ากับสังคม
เราควรลูบขน กอด และให้ลูกแมวเล่นกับคนประมาณ 30-40 นาทีต่อวัน นอกเหนือจากการให้อาหารและทำความสะอาดให้มัน ลูกแมวต้องการการกระตุ้น ควรปูรองพื้นกล่องที่ลูกแมวนอนด้วยวัสดุอ่อนนุ่ม ลูกแมวจะอบอุ่นและหลับสบาย สิ่งสำคัญคือทำให้เหมือนลูกแมวเป็นสมาชิกในบ้านในช่วง 3-6 สัปดาห์ จำไว้ว่ามันยังเด็ก ต้องจับอย่างทะนุถนอม แต่ต้องเริ่มฝึกลูกแมวให้คุ้นเคยกับเสียง การขับถ่าย คนแปลกหน้า และสัตว์เลี้ยงอื่นๆ
สรุป
ไม่ต้องกังวลว่าการเลี้ยงลูกแมวเป็นเรื่องใหญ่ เพราะมีหนังสือที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากมาย ลูกแมวสุขภาพดี มีความสุขที่คุณเลี้ยงมาคือรางวัลที่วิเศษที่สุด ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.vet.ku.ac.th

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หางบอกอารมณ์.... แมวสามารถใช้ หางในการสื่อสาร บ่งบอกถึงอารมณ์ของมัน (เช่น เดียวกันกับสัตว์ชนิดอื่นๆ)


ผ่อนคลาย
ถ้าหางม้วนห้อยลง แต่ส่วนปลายหางม้วนชี้ขึ้น : แสดงว่าแมวตัวนี้กำลังรู้สึกสบายและผ่อนคลาย
สนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ถ้าหางของมันยกขึ้นเล็กน้อยและม้วนเล็กน้อยอย่างนุ่มนวล : แสดงว่าแมวตัวนี้กำลังรู้สึกเริ่มที่จะสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
สนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ถ้าหางของแมวตั้งขึ้น แต่ปลายหางเอียง ไม่ว่าจะเป็นการเอียงไปข้างหน้า หรือข้างหลัง : แสดงว่าแมวตัวนี้กำลังสนใจและมีความรู้สึกเป็นมิตรต่อสิ่งที่สนใจ
ถ้าหางตั้งตรงและปลายหางตั้งตรงในแนวดิ่ง : แสดงว่าแมวกำลังมีอารมณ์ดี รู้สึกเป็นมิตร เมื่อได้พบกัน
ถ้าหางของแมวตั้งตรง โดยที่หาง หรือปลายหางกระดิก หรือสั้นอย่างนุ่มนวล : แสดงว่าแมวกำลังแสดงความชอบ ความรัก (showing affection).
ถ้าหางของแมวอยู่นิ่งๆ แต่จะมีการกระตุกเป็นครั้งคราว : แสดงว่าแมว รู้สึกว่าถูกรบกวน หรือมีความกังวล ทุกข์
ถ้าหางของแมวนิ่ง แต่ปลายหางมีการกระตุกอย่างหนัก : แสดงว่าแมวกำลังรู้สึกโกรธมาก
ถ้าหางของแมวสะบัดอย่างรุนแรงจากข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่ง : แสดงว่าแมวกำลังโกรธ*
ถ้าหางแมวเหยียดตรงชี้ขึ้น แต่ขนที่หางลุกชัน : แสดงว่าThe cat is แมวกำลังดุร้ายก้าวร้าว
ถ้าหางของแมวโค้งและขนตั้งชัน : แสดงว่าแมวอาจจะตรงเข้าทำร้ายได้ ถ้ามีการกระตุ้นเร้าเพิ่มอีก
ถ้าหางของแมวทอดตัวต่ำลงและลุกพองออก : แสดงว่าแมวกำลังกลัว
ถ้าหางของแมวยกขึ้นและขนลุกพองออก ทำให้ดูเหมือนมีหางขนาดใหญ่ : แสดงว่าแมวอาจจะ มีความสุขไปกับการวิ่งไล่ขับกันไปรอบๆ
ถ้าหางของแมวลดตัวลงต่ำมาก บางครั้งอาจจะพบว่าซุกอยู่ระหว่างขาหลัง : อาจจะแสดงว่าแมวกำลังยอมแพ้
ถ้าหางของแมวทอดตัวอยู่ด้านใดด้านหนึ่ง และแมวหมอบ หรือย่อตัวอยู่ หรือยกส่วนตะโพกสูงขึ้น : แสดงว่าแมวตัวเมียตัวนั้นพร้อมที่จะรับการผสมพันธุ์ mate.

     ข้อสังเกตุ : ต้องคิดอยู่เสมอว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับแมว ณ สถานการณ์นั้น และสิ่งแวดล้อมที่แมวอยู่ อย่าดูอารมณ์ของแมวด้วยอาศัยท่าทางของหางของแมวแต่เพียงอย่างเดียว
*** แมวมักจะแกว่งหางเมื่อมันกำลังมีอารมณ์ดี                                                                                                               ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.vet.ku.ac.th

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ความเชื่อเกี่ยวกับแมวดำ



      คนไทยเชื่อถือกันว่าหากมีแมวดำข้ามโลงศพ ศพนั้นจะเฮี้ยนนัก หรือแม้แต่มันเดินผ่านหน้าก็ถือว่าจะเป็นลางร้าย 

     ความผูกพันระหว่างคนกับแมวในลักษณะของความเชื่อมีมาแต่โบราณกาลแล้ว เมื่อราว ๓,๐๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล แมวทุกตัวในสมัยนั้นรวมทั้งแมวดำจะได้รับการยกย่องมาก มีกฎคุ้มครองไม่ให้ผู้ใดทำร้ายหรือฆ่าแมว หากครอบครัวใดมีแมวตาย คนในครอบครัวนั้นจะเศร้าโศกมาก และสำหรับศพของมันไม่ว่าเจ้าของจะยากดีมีจนเพียงใดก็จะแต่งตัวให้แมวอย่างสวยงาม ใช้ผ้าลินินเนื้อนุ่มห่อศพเอาไว้เหมือนมัมมี่แล้วเก็บในโลงที่ทำจากโลหะมีค่าเช่น บรอนช์ หรือทำด้วยไม้ซึ่งเป็นของที่หายากมากในอียิปต์ 

      เมื่อราว ๒,๐๐๐ ปี ก่อนมีข้อเขียนภาษาสันสกฤตพูดถึงบทบาทของแมวในสังคมอินเดีย ส่วนในจีนเมื่อราว ๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาลมีหลักฐานว่าขงจื๊อเลี้ยงแมวตัวโปรดอยู่ตัวหนึ่ง ประมาณ ค.ศ. ๖๐๐ นักพยากรณ์ชื่อ มูฮะมัด ท่องบทสวดพร้อมกับอุ้มแมวไว้ด้วยและในช่วงเดียวกันนี้ชาวญี่ปุ่นก็เริ่มเลี้ยงแมวในสถูปเจดีย์เพื่อรักษาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนคนอียิปต์เมื่อเห็นแมวตกจากที่สูง ๆ แล้วไม่เป็นอะไรก็รู้สึกทึ่ง จึงเริ่มเชื่อกันว่าแมวมี ๙ ชีวิต อย่างไรก็ตามในระหว่างหลายศตวรรษนั้น หากแมวเดินผ่านหน้าใครก็ถือเป็นเรื่องโชคดีของคนนั้น 

ความหวาดกลัวแมวโดยเฉพาะแมวดำเริ่มขึ้นที่ยุโรปในยุคกลาง ที่เห็นชัดเจนก็ในอังกฤษ 

แมวมีนิสัยรักอิสระ ดื้อ ชอบขโมย และยังสามารถเพิ่มจำนวนพลเมืองแมวได้อย่างรวดเร็วตามเมืองใหญ่ ๆ ดังนั้นความงามสง่าของมันจึงดูลดน้อยลงในสายตาของผู้คน แมวที่พบเห็นอยู่ตามตรอกมักเลี้ยงกันในหมู่คนยากจนและหญิงชราที่ถูกทอดทิ้งต่อมาเมื่อความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์เวทมนตร์ระบาดไปทั่วยุโรปหญิงชราไร้บ้านเหล่านี้ถูกกล่าวหาว่าเล่นไสยศาสตร์ และแมว (โดยเฉพาะแมวดำ) เพื่อนยากของพวกเธอก็ถูกมองว่าเป็นพวกแม่มดหมอผีไปด้วย 

ที่ประเทศอังกฤษมีนิทานพื้นเมืองเกี่ยวกับแมวเรื่องหนึ่งสะท้อนความคิดของคนในสมัยนั้นได้ดี เรื่องมีอยู่ว่าที่เมืองลินคอล์นไชร์ เมื่อทศวรรษ ๑๕๖๐-๑๕๖๙ ในคืนเดือนมืดคืนหนึ่งสองพ่อลูกเห็นสิ่งที่มีชีวิตขนาดเล็กเดินย่องผ่านหน้าพวกเขา ลอดเข้าไปในช่องเตี้ย ๆ ด้วยความกลัวจึงขว้างก้อนหินออกไป ก็ปรากฏว่ามีแมวดำบาดเจ็บโผล่ออกมา แล้วเดินกะเผลกไปบ้านข้าง ๆ ซึ่งเป็นบ้านของผู้หญิงที่คนทั้งเมืองสงสัยว่าเป็นแม่มด วันต่อมาพ่อลูกคู่นี้ก็พบหญิงคนนี้เดินอยู่ ใบหน้าของเธอมีแผลเป็นรอยถลอก และมีผ้าพันแขนเอาไว้ เวลาเดินขาก็กะเผลก ๆ จากวันนั้นเป็นต้นมาชาวเมืองลินคอล์นไชร์จึงพากันระแวงว่าแมวดำคือแม่มดที่แปลงตัวมาในยามค่ำคืน 

ปลายสมัยกลางมีหลายประเทศที่พยายามจะทำลายแมวให้สูญพันธุ์ เพราะโรคกลัวแม่มดระบาดไปทั่ว หญิงที่ไม่มีความผิดและสัตว์เลี้ยงน่าเอ็นดูที่ไม่มีพิษภัยถูกเผาตายเป็นจำนวนมาก แม้เด็กทารกที่เกิดมาแล้วมีดวงตาเป็นประกาย ใบหน้าเจ้าเล่ห์เกินไปมีบุคลิกแก่แดดเกินไป ก็จะถูกสังเวยความกลัวนี้ เพราะเชื่อว่าแกมีวิญญาณสิงอยู่และจะเติบโตเป็นแม่มดหรือพ่อมดซึ่งกลายร่างเป็นแมวดำในตอนกลางคืน ที่ฝรั่งเศส แต่ละเดือนแมวหลายพันตัวถูกเผา จนทศวรรษ ๑๖๓๐-๑๖๓๙ พระเจ้าหลุยส์ที่ ๘ จึงทรงสั่งให้หยุดการกระทำอันน่าอดสูนี้ 

แม้แมวดำจะถูกฆ่าทิ้งไปเป็นจำนวนมากทั่วทั้งยุโรปเป็นเวลาหลายร้อยปี แต่น่าแปลกที่พันธุกรรมของขนแมวสีดำกลับไม่เคยถูกลบเลือนไปจากเผ่าพันธุ์ของมัน... หรือแมวจะมี ๙ ชีวิตจริง ๆ 

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประโยชน์ ของแมวไทย



   แมวไทยตั้งแต่โบราณมามีประโยชน์คือช่วยจับหนู ในปัจจุบันแมวไทยเป็นเครื่อง
ตกแต่งที่น่าดู ช่วยเชิดชูสง่าเสริมราศีและให้ความสบายในแก่ผู้เลี้ยงในฐานะเป็นเพื่อนแก้เหงา เด็กๆมักชอบเล่นกับแมวโดยอุ้มหรือลูบไล้เล่น ผู้ชราส่วนมากเป็นสตรีมักชอบเลี้ยงแมวไว้เป็น เพื่อน โดยเฉพาะสุภาพสตรีชาวต่างประเทศที่เลี้ยงแมวมักจะรักแมวมาก จนถึงกับทำ พินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติให้แมวก็มี
          ในตำราดูลักษณะแมวของโบราณก็ได้กล่าวถึงคุณประโยชน์ที่ผู้เลี้ยงแมวลักษณะดีจะได้ ้รับลาภผลยศถาบรรดาศักดิ์และโชคดีมีความสุข ถึงแม้แมวที่ตายแล้วถ้าเก็บกระดูกไว้จะ ใช้ป้องกันภัยได้และเกิดลาภผล      

นิสัย ของแมว
    แมวไทยมีนิสัยรักความรักอิสระเสรีเช่นเดียวกับคนไทยมักจะไม่พึ่งพาเจ้าของ เพราะ แมวอาจจะออกไปหาอาหารกินได้เองที่นอกบ้าน หรือออกไปทำสิ่งที่อยากทำได้โดยเสรี แมวจะ แสดงความรักเจ้าของเพียงบางครั้งเท่านั้น ไม่สม่ำเสมออย่างสุนัข บางครั้งเจ้าของเรียกแต่ แมวทำเฉยไม่ยอมมาหา ยิ่งกว่านั้นบ่อยครั้งที่เจ้าของกำลังอุ้มมาชื่นชม แต่แมวกลับยกเท้าขึ้น ตบหน้าเข้าของหรือข่วนให้อย่างเต็มรัก ถ้าในขณะอารมณ์ดีแมวจะมาประจบซุกอยู่ในตักโดย ไม่ต้องเชื้อเชิญ และทำเสียงครางกระหึ่มอยู่ในลำคอแสดงความพึงพอใจ แต่แล้วไม่นานก็ลุก พรวดพราดหรือกระโดดหนีไปเฉยๆ แมวจึงเป็นเจ้าของคนมากกว่าคนเป็นเจ้าของแมว ถ้าแมว พอใจจะยกหางสูง เวลากลัวจะเอาหางซ่อนไว้ใต้ตัว

          
คนที่ถือโชคลางเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์ลึกลับ เพราะตาแมวมีประกายส่องไปในที่มืด แลเห็น แสงได้ถนัดอย่างน่ามหัศจรรย์ ฝีเท้าแมวก็เบามากเพราะเดินด้วยเล็บเท้ามิใช่ฝ่าเท้า บางเวลาที่ นั่งอยู่ แมวจะเพ่งมองดูอะไรอย่างหนึ่ง ซึ่งนัยน์ตาของคนเรามองไม่เห็น แล้วก็ลุกขึ้นไปอย่าง กะทันหันเหมือนมมีอำนาจลึกลับมาร้องเรียก จึงดูประหนึ่งว่าแมวสามารถติดต่อกับสิ่งลึกลับ เหนืออำนาจมนุษย์ได้ 

          
นอกจากนี้แมวยังมีนิสัยชอบโอ้อวด เมื่อแมวออกไปตระเวนหาประสบการณ์ ถ้าบังเอิญ ไปจับนกหรือหนูมาได้ แมวจะคาบเหยื่อวิ่งมาอวดเจ้าของให้รับรู้ใน ความสามารถของมัน โดยจะส่งเสียงร้องเหงียวหงาวจนเจ้าของแลเห็น และแสดงความชื่นชมในฝีมือของมัน แล้ว แมวก็จะสบายใจวางเหยื่อลงหรือหยอกเล่น แมวไทยมีนิสัยดีมักไม่กินสิ่งที่จับมาได้ไม่ว่าสิ่ง นั้นจะเป็นอะไร

          
ความฉลาดรอบคอบและเตรียมพร้อมของแมวไทยจะเห็นได้จากแมวตัวเมียเมื่อตั้งท้อง มันจะหาที่คลอดเตรียมไว้เพื่อเลี้ยงลูกในที่ปลอดภัยที่สุด และมักไม่พอใจสถานที่ซึ่งเจ้าของจัด เตรียมให้ แมวไทยชอบคลอดลูกบนที่สูง เช่นบนหลังคา ้าหากมีช่องโหว่ให้เข้าไปในเพดานได้ หลังชั้นหนังสือ หลังตู้ เป็นต้น แมวอาจฉีกเสื้อผ้า กระดาษ หรือของที่มันหามาได้ปูรอง พื้นให้ ลูกของมันอยู่สบาย 

          
อาจเป็นเพราะแมวเคยเป็นสัตว์ป่ามาก่อน จึงมักชอบประลองเล็บไม่เลือกที่ ไม่ว่าจะเป็น เก้าอี้รับแขกตัวงาม โต๊ะ กินข้าวตัวใหม่ หรือเก้าอี้นวมสวยๆ ก็ไม่ได้รับการยกเว้น วิธีแก้ไขก็คือ ต้องหาท่อนไม่หยาบๆ ไว้ให้แมวได้ลับคมเล็บเล่นบ้างตามสัญชาติญาณของมัน
 พฤติกรรม

 การแสดงออกของใบหน้า 
          
หู 
          
เป็นจุดที่ไวมาก หูจะถูกยกยื่นไปข้างหลัง เป็นการเตือนที่จะสู่โจมศัตรูในกรณีที่หู โค้งกลับและถูกดึงให้ต่ำลงข้างๆ เป็นสัญญาณของการป้องกันตัวและพร้อมที่จะต่อสู้ 
          
หนวด 
          
ให้ดูจากตำแหน่างการกระจายตัวของหนวด ถ้าหนวดแผ่ออก แมวกำลังเครียด หรือสนใจอะไรบางอย่าง แต่ถ้าหนวดดูลาดและรวบไปไว้ข้างแก้มแมวจะอยู่ด้านหลังเป็นพุ่ม แสดงถึงความสงบสบายใจ 
          
ลูกตาดำ 
          
ม่านดกที่หดเล็กลงจะแสดงถึงความตึงเครียดหรือสนใจอะไรอย่างหนึ่งอย่างใดอย่างมาก ในกรณีที่ม่านตกเปิดกว้าง มันแสดงถึงความประหลาดใจ กลัวหรือเตรียมพร้อมเพื่อป้องกันตัว 
          
การหาว 
          
ไม่ใช่การติดต่อของเชื้อโรคหรือแสดงอาการง่วงนอนที่เกิดกับมนุษย์ แต่มันเป็นสัญญาณ ที่แสดงถึงความแน่ใจ การแสดงออกแบบนี้เหมือนกับมันจะพูดว่า "ฉันรู้สึกสบายดีนะและคุณคงเป็นอย่างฉันด้วย"

          
กิริยาท่าทางที่แมวแสดงออก
          
หัว 
          
เมื่อแมว 2 ตัวที่ไม่ได้เคยรู้จักกันมาก่อนเลยและมาเผชิญหน้าจะติดต่อทำความรู้จักกัน โดยการยึดหัวที่ตั้งตรงไปข้างหน้า และเมื่อตัวใดตัวหนึ่งรู้สึกว่าเด่นกว่าจะเชิดหัวสูงขึ้นไปอีก ส่วนตัวที่รู้สึกว่าด้อยกว่าจะก้มหัวต่ำลง 
          
ลำตัว 
          
ถ้าลำตัวยึดตรง แสดงถึงความมั่นใจและพร้อมที่จะจู่โจมศัตรู ในกรณีที่ลำตัวโค้งงอหรือ หลังโก่ง แสดงถึงว่าแมวกลัว และพร้อมที่จะจู่โจมได้ทันที 
          
หาง 
          
หางเป็นเครื่องบ่งบอกอารมณ์ของแมวได้เป็นอย่างดี ถ้าหางนั้นเคลื่อนไหวเป็นคลื่นและ บัดจาก ทางหนึ่งไปยังอีกทางหนึ่ง แสดงถึงมีความตื่นเต้นมาก ๆ เมื่อแมวต้องการแสดงความ เป็นมิตร แต่ถ้ามันสบัดหางขึ้นอย่างรวดเร็ว แสดงถึงการขู่ แล้วพร้อมที่จะจู่โจม 
          
ขน 
          
เมื่อแมวอยู่ในภาวะกำลังกลัว ขนจะตั้งชันทั้งตัว ในกรณีที่ขู่หรือเตรียมจะตะปบเหยื่อ ขนจะตั้งขึ้นเพียงเล็กน้อยตามส่วนที่ยื่นออกมาจากลำตัวและหาง

          
การส่งเสียง
          
เสียงร้องเหมียวเหมียว 
          
เป็นเสียงที่รู้จักกันดี อาจเกิดขึ้นจากที่ลูกแมวถูกปล่อยทิ้งตามลำพัง หรือไม่มีความสุข ลูกแมวจะเปล่งเสียงนี้เมื่อมันหลุดออกจากลังหรือกำลังหนาว ถ้าแม่แมวมารบกวนในขณะที่หลับ เป็นสัญญาณความไม่พอใจ ขาดการเอาใจใส่ดูแล และรวมไปถึงการเรียกของทั้ง 2 เพศ 
          
การทำเสียงแหลม 
          
เมื่อแมวตกอยู่ในสภาพเครียดมาก ๆ มันจะแสดงความโกรธโดยการส่งเสียงแหลม ซึ่งเสียงนี้ เรียกว่า "เสียงเพื่อป้องกันตัว" จะแสดงออกมาถี่ ๆ นอกจากนี้เสียงร้องที่สูงและต่ำ เป็นการแสดงถึงการจับคู่กันด้วย 
          
การคำราม 
          
จะเกิดขึ้นโดยการยกมุมปาก การคำรามอย่างเต็มกำลังซ้ำ ๆ กันแสดงถึงความจริงจัง แมวใหญ่จะทำกันมากเป็นพิเศษ 
          
การทำเสียงคลัก 
          
เป็นการทำเสียงในระดับสูง แสดงถึงมิตรภาพยินดีจะเป็นเพื่อนด้วยและอาจจะมีการร้องเหมียวเบา ๆ อาจหมายถึงการ สนทนาอย่างเป็นกันเอง 

          
การส่งสัญญาณโดยใช้กลิ่น 
          
การส่งสัญญาณประเภทนี้จะให้เกิดผลได้ดีเมื่อแมว 2 ตัวได้สัมผัสกันทั้งโดยตรง และโดยทางอ้อม ต่อมกลิ่นที่อยู่ใต้ผิวหนังบริเวณแก้ม คาง เท้าและโคนหาง จะทำหน้าที่ผลิต ฮอร์โมนออกมา โดยเฉพาะในแมวตัวเมียนึ้นจะผลิตฮอร์โมนติดต่อกันเป็นวัฏจักร การถูสัมผัส กันกับแมวตัวอื่น โดนใช้หัว คาง สีข้าง แก้มตลอดจนการใช้ลำตัวไปถูใต้คางของ อีกตัวหนึ่ง ก็เป็นการ สื่อสารแบบหนึ่งด้วย ในแมวตัวผู้มีการปล่อยกลิ่นเพื่อแสดงอาณาเขตของมันเอง โดย มักจะชูหางขึ้นและแกว่งไปมา พร้อมทั้งปล่อยของเหลวที่มีกลิ่นออกจากต่อมใต้โคนหาง แมวอาจปล่อยกลิ่นไว้ตาม กำแพง กิ่งและพุ่มไม้ หรือ อาณาเขตของมันโดยทั่วไป กลิ่นจะคงอยู่ ประมาณ 2 อาทิตย์ หรือ มากกว่านี้เล็กน้อย และในไม่ช้าก็จะจางไปแต่ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ ด้วย หลังจากการต่อสู้ผู้ชนะจะปล่อยกลิ่นหลาย ๆ ครั้งในบริเวณนั้น นอกจากจะแสดงว่า เป็น อาณาเขตของมันแล้ว ยังแสดงถึงความมั่นใจและความแข็งแรงของมันอีกด้วย ฝ่ายที่แพ้ไป นั้นก็จะปล่อยกลิ่นเหล่านี้ในภายหลังโดยจะระมัดระวังไม่ให้ฝ่ายชนะเห็น

ระบบประสาทสัมผัส

การมองเห็น(Sight)
          
วิธีการล่าเหยื่อของแมว มีท่าทางการจ้องมองด้วยดวงตาทั้งสองข้างพร้อมทั้งการได้ยิน ของเสียงด้วยระบบการได้ยินของใบหูทั้งสองส่วนจัดสัมพันธ์กันเป็นองค์ประกอบด้านสื่อ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการรับรู้ได้ดีเป็นพิเศษ แต่แมวไม่สามารถที่จะแยกแยะในส่วนของสี ที่จะช่วย ให้มันมองเห็นเป็นรูปร่างได้ทันที เนื่องจากหลังม่านกระจกแก้วตาแมวนั้นมีสิ่งกีดขวาง จึงไม่ ช่วยให้แมวมองเห็นวัตถุได้อย่างใกล้ชิด การที่ลูกนัยน์ตาแมวทั้งสองข้างมองเห็นได้นั้นเกิดจาก การควบคุมของระบบประสาทจึงทำให้มันมองเห็นภาพในระยะไกลได้ดีกว่าระยะใกล้ ลูกตา ของแมวสามารถเคลื่อนมองได้กว้างถึง 205 องศา ทำให้แมวมองได้รอบทั่วบริเวณ ที่แคบๆ ส่วนบริเวณพื้นที่กว้างๆ การเคลื่อนไหวของรูปร่างจะทำได้เพียงเล็กน้อยเนื่องจาก ระบบการ มองเห็นที่ไม่อำนวยต่อมันนั่นเอง

          
การดมกลิ่น(Smell)
          
แมวได้ถูกพัฒนาความสามารถในระบบการรับรู้กลิ่นได้ดีเป็นอย่างยิ่ง สำหรับลูกแมว ที่เกิด ใหม่ ก่อนที่มันจะลืมตาได้นั้น มันจะใช้กลิ่นเป็นตัวนำเพื่อให้มันสามารถดูดนมแม่ได้ ถึงแม้ว่าตายัง ไม่เปิด บริเวณหน้าผากของแมวจะมีต่อมผลิตกลิ่นพิเศษที่เรียกว่า สารฟีโรโมส์(Pheromose) เป็นกลิ่นเฉพาะ ของมัน การที่เราเห็นแมวชอบเอาศีรษะมาถูหรือ สัมผัสกับคนเราหรือสิ่งของใดๆนั้น แสดงว่า มันได้ปล่อยกลิ่นของมันไว้ มันจึงแยกแยะรับรู้ จากกลิ่นต่างๆที่เกิดขึ้นมาแล้วได้ การปล่อย กลิ่นไว้ในที่ต่างๆ ก็สามารถใช้แสดงความเป็น เจ้าของในสิ่งนั้นของมันได้ด้วย แมวเป็นสัตว์ที่มีการ รับรู้ที่ดี มันจะร่าเริงในช่วงที่อากาศ อบอุ่นหรือได้รับไอแดด ซึ่งเป็นกลิ่นที่มันปรารถนา การที่เราเห็น แมวนั่งอยู่บริเวณประตูหรือ หน้าต่างบ่อยๆก็เพื่อ สูดดมเอากลิ่นไอแดดมาปะทะเข้าจมูกมันนั่นเองแต่กลิ่นที่ได้รับ นั้นไม่ สามารถกระตุ้นด้วยบริเวณจมูก แต่อากาศที่เข้าสู่จมูกจะถูกดึงดูดขึ้นไปตามท่อรูจมูกบริเวณ ศีรษะผ่านไปสู่ฟันกรามด้านบน แล้ววนไปสู่ระบบประสาทที่สามารถรับรู้กลิ่นได้ เป็นลักษณะ เช่นเดียวกับการรับรู้กลิ่นของสัตว์ประเภทงู

          
การฟังหรือได้ยินเสียง(Hearing)
          
แมวสามารถรับฟังเสียงที่มีอัตราความถี่ประมาณ 30-45,000 Hertzโดยเป็นระยะทาง กว้างไกลกว่าคนซึ่งได้ยินเพียง 2,000-5,000Hertz หูของแมวจะมีสันโค้งเป็นจุดรวมการกรอง ของเสียงลักษณะใบหูจะมีขบวนการรับฟังเสียงที่มากระทบโสตประสาทบริเวณหูได้สูงมากในบริเวณ ต้นแหล่งของการเกิดเสียงสะท้อนแมวที่เราเลียงอยู่ในบ้านนั้นสามารถแยกเสียงฝีเท้าเดินของคนในบ้าน และคนแปลกหน้าที่เข้ามาในบ้านได้ด้วย

          
การสัมผัส(Touch)
          
แมวมักจะใช้อุ้งฝ่าเท้าส่วนหน้าในการจำแนกหรือวินิจฉัยวัตถุนั้นๆ โดยมีจมูกเป็นตัวกระตุ้น ที่สำคัญในการสัมผัส แมวสามารถมีแรงผลักดันของการรับรู้ในบริเวณช่วงขนที่ขึ้นยาว คือ หนวด คิ้ว และช่วงขนที่เป็นเส้นยาวบริเวณหลังอุ้งฝ่าเท้าคู่หน้า หนวดประเภทนี้จะช่วยให้มันทราบ ตำแหน่ง ที่ว่างของการรับรู้จากภายในตัวไปสู่บริเวณตำแหน่งของวัตถุได้ภายในไม่เกิน 1 นาที

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555



ชนิดของแมวไทย
   
    แมวไทย (วิฬาร) ที่ยังเหลือให้พบเห็นในปัจจุบันนี้มี 6 ชนิดคือ วิเชียรมาศ สีสวาด ศุภลักษณ์ โกญจา ขาวมณี และ แซมเสวตร แต่แท้จริงแล้วในสมุดข่อยโบราณได้กล่าวถึงแมวไทยว่ามีทั้งหมด 23 สายพันธุ์ แบ่งออกเป็นแมวให้คุณ 17 ชนิด และ แมวร้ายให้โทษอีก 6 ชนิด
     1.วิเชียรมาศ 2.สีสวาด  3.ศุภลักษณ์  4.โกญจา  5.ขาวมณี  6.แซมเสวตร


   
 วิเชียรมาศ
  แมววิเชียรมาศ ตรงกับความหมายว่า "เพชรแห่งดวงจันทร์" หรือ "Moon Diamond" บางตำราก็เรียก "แมวแก้ว" ซึ่งก็ตรงกับคำว่า "วิเชียร" แมวชนิดนี้มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแมวเก้าแต้มเสมอ ที่จริงแล้วไม่ถูกต้อง แมวเก้าแต้มคือแมวที่มีสีพื้นสีขาว และมีแต้มบนร่างกาย 9 แห่ง เหตุที่มักเข้าใจผิดเพราะแมววิเชียรมาศ จะมีสีพื้นสีขาวงาช้าง(หรือโบราณจะเป็นขาวล้วนก็ไม่ทราบ) และมีแต้มที่จมูกครอบไปถึงปากเป็นหนึ่งแห่ง กับขาทั้งสี่ หูสอง หางหนึ่ง และที่อวัยวะเพศอีกหนึ่ง รวมเป็น 9 แห่งเช่นกัน ในแมววิเชียรมาศนี้แต้มตามตำราว่าไว้ว่าต้องเป็นสีดำดังหมึกวาด แต่ปัจจุบันเมื่อดูให้ดีแล้วจะเป็นแต้มสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ไม่ได้ดำสนิท หรือที่ต่างประเทศเรียกว่า Seal brown หรือแต้มสีครั่ง แมววิเชียรมาศเป็นที่รู้จักในต่างประเทศโดยใช้ชื่อว่า Siamese แต่ต่างประเทศจะมีแต้มสีอื่นที่หลากหลายกว่า ซึ่งในบ้านเราจะยอมรับเฉพาะแมวที่มีแต้มสีน้ำตาลเข้มเท่านั้น นัยน์ตาสีฟ้าก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของแมวชนิดนี้
ลักษณะโดยทั่วไป 

    ลักษณะที่เป็นข้อเด่น
  ลักษณะสีขน : ขนสั้นแน่นสีขาว หรือสีน้ำตาลอ่อน มีแต้มสีครั่ง หรือสีน้ำตาลไหม้ที่บริเวณใบหน้า หูทั้งสองข้าง เท้าทั้งสี่ หางและที่อวัยวะเพศ (ทั้งแมวเพศผู้และแมวเพศเมีย) รวม 9 แห่ง ขณะที่อายุยังน้อย หรือเป็นลูกแมว สีขนจะออกสีครีมอ่อนๆ หรือขาวนวล พอโตขึ้นสีจะค่อยๆ เข้มขึ้นตามลำดับจนเป็นสีน้ำตาล (สีลูกกวาด)
ลักษณะของส่วนหัว : รูปหัวไม่กลม หรือแหลมเกินไป หน้าผากใหญ่และแบน จมูกสั้น หูใหญ่ ตั้งสูงเด่นบนส่วนหัว
ลักษณะของนัยน์ตา : ตาสีฟ้า
ลักษณะของหาง : หางยาว ปลายแหลมชี้ตรง โคนหางใหญ่และค่อยๆ เล็กเรียวกลมไปจนสุดปลายหาง ขายาวเรียวได้สัดส่วนกับลำตัว
 ลักษณะที่เป็นข้อด้อย
      ขนยาวเกินไป มีแต้มสีไม่ครบทั้ง 9 แห่ง แต้มสีอื่นที่ไม่ใช่สีน้ำตาลไหม้ นัยน์ตาสองข้างเป็นคนละสี หรือเป็นสีอื่นๆ ตาเอียง จมูกหัก หูไม่ตั้ง หางสั้นเกินไป (เมื่อยืนขาหลังให้ขนานกับหาง ความยาวของหางสั้นกว่าขาเกิน 3 นิ้ว ) หางขอด หางหงิกงอ หางสดุด ปลายหางคด ดุเกินไป เลี้ยงลูกไม่ดี
สีสวาดหรือมาเลศ
แมวพันธุ์นี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ คือ แมวโคราช แมวมาเลศ หรือแมวดอกเลา ต้นกำเนิดพบที่อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา หรือที่รู้จักกันในนามว่าโคราช มีหลักฐานบันทึกเกี่ยวกับแมวโคราชในสมุดข่อยที่เขียนขึ้นในระหว่างปี ค.ศ. 1350-1767 หรือประมาณ พ.ศ. 1893-2310 ในบันทึกได้กล่าวถึงแมวที่ให้โชคลาภที่ดี 17 ตัวของประเทศไทย รวมถึงแมวโคราชด้วย ปัจจุบันสมุดข่อยนี้ถูกเก็บไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร
            แมวเพศผู้มีสีเหมือนดอกเลา จึงเรียกแมวสีดอกเลา โดยจะต้องมีขนเรียบ ที่โคนขนจะมีสีขุ่น ๆ เทา ในขณะที่ส่วนปลายมีสีเงิน เป็นประกายคล้ายหยดน้ำค้างบนใบบัว หรือเหมือนคนผมหงอก
            ชื่อแมวโคราช เป็นชื่อที่ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 5 โดยใช้แหล่งกำเนิดของแมวเป็นชื่อเรียกพันธุ์แมว มีเรื่องเล่ามากมายหรือเป็นตำนานเล่าขานเกี่ยวกับแมวโคราช รวมถึงตำนานพื้นบ้านที่กล่าวถึงการที่แมวโคราชมีหางหงิกงอมากเท่าไหร่จะมีโชคลาภมากเท่านั้น (แม้ว่าลักษณะหางหงิกงอไม่ใช่มาตรฐานพันธุ์ตามหลักของ CFA ก็ตาม) แต่คนไทยบางกลุ่มจะเรียกแมวโคราชว่า แมวสีสวาด
            แมวโคราชได้ถูกนำไปเลี้ยงในสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกโดย Cedar Glen Cattery ในมลรัฐโอเรกอน โดยได้รับมาจากพี่น้องชื่อ นารา (Nara) และ ดารา (Darra) ในวันที่ 12 มิถุนายน ปี พ.ศ. 2502 ประมาณเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2509 นักผสมพันธุ์แมวโคราชและแมวไทย (วิเชียรมาศ) ชาวรัฐแมริแลนด์ ได้นำแมวโคราชประกวดในงานประจำปีและ ได้รับรางวัลชนะเลิศและเป็นที่รู้จัก

ลักษณะโดยทั่วไป

 ลักษณะที่เป็นข้อเด่น

  • ลักษณะสีขน : ขนสั้น สีสวาด (silver blue) ทั่วทั้งตัวและเป็นสีสวาดตั้งแต่เกิดจนตาย
  • ลักษณะของส่วนหัว : หัวเมื่อดูจากด้านหน้าจะเป็นรูปหัวใจ หน้าผากใหญ่และแบน หูตั้ง ในแมวตัวผู้หน้าผากมีรอยหยักทำให้เป็นรูปหัวใจเด่นชัดมากขึ้น หูใหญ่ตั้ง ปลายหูมน โคนหูใหญ่ ผิวหนังที่บริเวณจมูกและริมฝีปากสีเงิน หรือม่วงอ่อน
  • ลักษณะของนัยน์ตา : นัยน์ตาสีเขียวสดใสเป็นประกาย หรือสีเหลืองอำพัน ขณะยังเป็นลูกแมวตาจะเป็นสีฟ้า เมื่อโตขึ้นจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองสด และเมื่อเติบโตเต็มที่ตาจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวใบไม้ หรือสีเหลืองอำพัน
  • ลักษณะของหาง : หางยาว ปลายแหลมชี้ตรง โคนหางใหญ่และค่อยๆ เล็กเรียวกลมไปจนสุดปลายหาง ขายาวเรียวได้สัดส่วนกับลำตัว


 ลักษณะที่เป็นข้อด้อย

        ขนยาวเกินไป มีสีอืนปน นัยน์ตาสองข้างเป็นคนละสี หรือเป็นสีอื่น ตาเอียง จมูกหัก หูไม่ตั้ง หางสั้นมากเกินไป (เมื่อยืดขาหลังให้ขนานกับหาง ความยาวของหางสั้นกว่าขาเกิน 3 นิ้ว ) หางขอด หางหงิกงอ หางสะดุด ปลายหางคด ดุเกินไป เลี้ยงลูกไม่ดี



ศุภลักษณ์
     แมวศุภลักษณ์ เรียกอีกชื่อว่าแมวทองแดง มีสีทองแดงหรือน้ำตาลแดงเข้มทั่วตัว อาจมีสีเข้มเป็นพิเศษตำแหน่งเดียวกับแมววิเชียรมาส แมวทองแดงมีรูปร่างขนาดกลาง สง่า น้ำหนักตัวพอประมาณ ขายาวเรียวฝ่าเท้าอวบ ศีรษะค่อนข้างกลมกว้าง ด้วยสีขนออก น้ำตาลเข้ม เหมือนกับสีของทองแดง มีตาสีออกเหลือง หรือ สีอำพัน หนวดมีสีเหมือนลวดทองแดง และบริเวณตามส่วนของร่างกาย เช่นหน้า หู ปลายขา และ หางจะมีสีน้ำตาลเข้มกว่าบริเวณลำตัวทั่วๆไป แมวพันธุ์ศุภลักษณ์จะมีสีสันสะดุดตาอย่างมาก และ มีความสวยงาม สมคำ "ศุภลักษณ์"ที่แปลว่าลักษณะที่ดี ว่ากันว่าแมวชนิดนี้เป็นแมวที่ได้ติดตามเจ้าของที่เป็นคนไทยซึ่งถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยศึกที่พม่า เมื่อความนิยมได้แพร่หลายมากขึ้น ชาวต่างชาติจึงได้นำไปจดทะเบียนเป็นแมวสายพันธุ์หนึ่งของโลก โดยใช้ชื่อว่า Burmese แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าต้นกำเนิดอยู่ที่เมืองไทย

        แมวศุภลักษณ์ เป็นแมวที่มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ อยากรู้อยากเห็น ชอบผจญภัย รักอิสระเสรีเหนืออื่นใด ชอบสนใจสิ่งต่างๆรอบตัว กับคนแปลกหน้าแล้วมันดูจะเป็นแมวที่ร้ายพอสมควร ว่ากันว่าแมวชนิดนี้เป็นแมวที่ได้ติดตามเจ้าของที่เป็นคนไทยซึ่งถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยศึกที่พม่า เมื่อความนิยมได้แพร่หลายมากขึ้น ชาวต่างชาติจึงได้นำไปจดทะเบียนเป็นแมวสายพันธุ์หนึ่งของโลก โดยใช้ชื่อว่า Burmese แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าต้นกำเนิดอยู่ที่เมืองไทยนี่เอง ผู้ใดเลี้ยงไว้มีแต่จะเพิ่มยศยิ่งขึ้นไป

        ปัจจุบันเมืองไทย หายากมากแต่ มีทั่วไปในอเมริกาและอังกฤษ ซึ่งเขาได้พัฒนาผสมพันธุ์กัน จนได้แมวในลักษณะ สีอื่นๆมากมาย ทำนองคล้ายพันธุ์วิเชียรมาศที่แยกออกไปถึง 8 พันธุ์

ลักษณะโดยทั่วไป
ลักษณะที่เป็นข้อเด่น
ลักษณะสีขน : ขนสั้น สีน้ำตาลเข้มคล้ายสีสนิม (สีทองแดง) บริเวณส่วนหู ใบหน้า ปลายขา หาง จะมีสีน้ำตาลเข้มกว่าบริเวณลำตัวทั่วๆ ไป
ลักษณะของส่วนหัว : ค่อนข้างกลมและกว้าง หนวดมีสีเหมือนลวดทองแดง หูใหญ่
ลักษณะของนัยน์ตา : แมวชนิดนี้จะมีดวงตาออกเป็นลักษณะเหลืองๆ หรือออกสีอำพัน หนวดของแมวศุภลักษณ์จะมีสีแวววาวเหมือนกับลวดทองแดงเลยทีเดียว
ลักษณะของหาง : หางยาว ปลายหางแหลมชี้ตรง โคนหางใหญ่และค่อยๆ เล็กเรียวกลมไปจนสุดปลายหาง ขาวยาวเรียวได้สัดส่วนกับลำตัว


 ลักษณะที่เป็นข้อด้อย

        ขนยาวเกินไป สีอ่อนเกินไป มีแต้มสีขาวปน เช่น ที่บริเวณหน้าอก หรือช่องท้อง มีไม่สม่ำเสมอ เช่น มีลายเห็นเป็นทางตามลำตัว โดยเฉพาะตามใบหน้า ขาและหาง นัยน์ตาสองข้างเป็นคนละสี หรือเป็นสีอื่น ตาเอียง จมูกหัก หูไม่ตั้ง หางสั้นมากเกินไป (เมื่อยืดขาหลังให้ขนานกับหาง ความยาวของหางสั้นกว่าขาเกิน 3 นิ้ว ) หางขอด หางหงิกงอ หางสะดุด ปลายหางคด ดุเกินไป เลี้ยงลูกไม่ดี




โกนจา 
   แมว "โกนจา" หรือบางแห่งก็เขียนว่า "โกญจา" แมวชนิดนี้เป็นแมวสีดำสนิทตลอดทั้งตัว ขนสั้น ไม่มีสีอื่นใดปะปนเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีลักษณะเป็นขนเส้นเล็กละเอียดนุ่ม ส่วนหัวกลมแต่ไม่โต มีปากเรียวแหลม หูตั้ง นัยตาเป็นสีเหลืองอมเขียวหรือทองอ่อน อาจเปรียบได้กับดอกบวบแรกแย้มหรือทองดอกบวบ รูปร่างสะโอดสะองคล่องแคล่ว หางยาว ปลายหางแหลมตรง อุ้งเท้าทอดคล้ายเท้าสิงห์ มีความสง่างามขณะเคลื่อนไหว
            แมวโกญจาบางทีอาจรู้จักกันในสายพันธุ์บอมเบย์

 ลักษณะโดยทั่วไป

ลักษณะที่เป็นข้อเด่น

  • ลักษณะสีขน : ขนสั้น สีดำตลอดทั้งตัว
  • ลักษณะของส่วนหัว : รูปหัวกลมไม่ใหญ่มาก หูใหญ่ ตั้งสูงเด่นบนส่วนหัว
  • ลักษณะของนัยน์ตา : นัยน์ตาสีดอกบวบแรกแย้ม (สีเหลืองอมเขียว)
  • ลักษณะของหาง : หางยาว ปลายแหลมชี้ตรง โคนหางใหญ่และค่อยๆ เล็กเรียวกลมไปจนสุดปลายหาง ขายาวเรียวได้สัดส่วนกับลำตัว


ลักษณะที่เป็นข้อด้อย

        ขนยาวมากเกินไป ขนมีสีอื่นปะปน นัยน์ตาสองข้างเป็นคนละสี หรือเป็นสีอื่น ตาเอียง จมูกหัก หูไม่ตั้ง หางสั้นมากเกินไป
(เมื่อยืดขาหลังให้ขนานกับหาง ความยาวของหางสั้นกว่าขาเกิน 3 นิ้ว ) หางขอด หางหงิกงอ หางสะดุด ปลายหางคด ดุเกินไป เลี้ยงลูกไม่ดี

ขาวมณี
แมวขาวมณี หรือ ขาวปลอดเป็นสายพันธุ์ที่พบเห็นได้มากสุดในปัจจุบัน เป็นแมวไทยโบราณที่ไม่ได้มีบันทึกไว้ในสมุดข่อย จึงเชื่อว่าเป็นแมวที่เพิ่งกำเนิดในต้นยุครัตนโกสินทร์นี่เอง นิยมเลี้ยงไว้ในราชสำนักครั้งหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 แมวชนิดนี้เป็นที่โปรดปราณมาก ในต่างประเทศนิยมเลี้ยงกันเป็นคู่เพื่อให้ผลัดกันทำความสะอาดขน เป็นแมวที่ค่อนข้างเชื่อง เหมาะสำหรับการเลี้ยงเป็นเพื่อนได้เป็นอย่างดี

            ลักษณะเด่นของขาวมณีคือสีขนและผิวกายขาวสะอาด ขนสั้น นุ่ม รูปร่างลำตัวยาวขาเรียว ทรงเพียวลม ไม่อ้วนหรือผอมเกินไป หัวไม่กลมโต แต่เป็นทรงสามเหลี่ยมคล้ายหัวใจ หน้าผากแบนใหญ่ หูขนาดใหญ่และตั้งตรงจมูกสั้น ดวงตาจะรีเล็กน้อยนัยน์ตาเป็นสีฟ้าหรือเหลืองอำพันสีใดสีหนึ่งเมื่อนำแมวขาวมณีตาสีฟ้า ผสมกับแมวขางมณีตาสี อำพัน ลูกที่ออกมาจะมีตาสองสี คือ สีฟ้าข้างหนึ่งและสีเหลืองอำพันข้างหนึ่ง ซึ่งเป็นลักษณะที่ถูกควบคุมโดยยีนด้อยในแมวขาวมณีแทบทุกตัวจะมีจุดด้อย เช่น ถ้ามีตาสองสีมักมีตาข้างหนึ่งที่ไม่ดี อาจมองเห็นไม่ชัดหรือมองไม่เห็นเลย ถ้าแมวตาสีฟ้ามักจะหูพิการ หรือไม่ได้ยินเสียงมากนัก และแมวตาสีเหลืองอำพันมักมีต่อมขนที่ไม่ดี จุดด้อยอีกข้อของแมวขาวมณีคือความไม่ขาวปลอด มีสีใดสีหนึ่งแซมเข้ามา รวมถึงตาสองข้างเป็นคนละสีกัน (Odd eyes) หรือเป็นสีอื่นสีใดที่ไม่ใช่สีฟ้าหรือเหลืองอำพัน ก็ไม่เป็นที่ยอมรับ เช่นเดียวกับขนที่ยาวมากเกินขนาด หางคด หางขอด หางงอและ หางสั้น

        ลักษณะโดยทั่วไป
ลักษณะที่เป็นข้อเด่น
ลักษณะสีขน: ขนสั้นแน่นและอ่อนนุ่ม สีขาวไม่มีสีอื่นปน สีผิวหนังเป็นสีขาวปลอดทั้งตัว
ลักษณะของส่วนหัว: รูปร่างไม่กลม หรือแหลมเกินไป แต่คล้ายรูปหัวใจ ผน้าผากใหญ่และแบน จมูกสั้น หูตั้งใหญ่
ลักษณะของนัยน์ตา: นัยน์ตาสีฟ้า หรือสีเหลืองอำพัน
ลักษณะของหาง: หางยาว ปลายหางแหลมชี้ตรง โคนหางใหญ่และค่อยๆ เล็กเรียวกลมไปจนสุดปลายหาง ขาวยาวเรียวได้สัดส่วนกับลำ
ลักษณะที่เป็นข้อด้อย
ขนมีสีอืนปน นัยน์ตาสองข้างเป็นคนละสี หรือเป็นสีอื่น ตาเอียง จมูกหัก หูไม่ตั้ง หางสั้นมากเกินไป (เมื่อยืดขาหลังให้ขนานกับหาง ความยาวของหางสั้นกว่าขาเกิน 3 นิ้ว ) หางขอด หางหงิกงอ หางสะดุด ปลายหางคด ดุเกินไป เลี้ยงลูกไม่ดี


แซมเสวตร
  แมวแซมเสวตร แปลว่า แซมสีขาว แมวชนิดนี้มีขนสีดำ แซมด้วยสีขาวไปทั้งตัว แต่ขนบางและค่อนข้างสั้น รูปร่างบางเพรียว ตามีสีเขียวเหมือนแสงหิ่งห้อย เดิมทีเคยเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ได้พบอีกครั้ง